Edge Computing

1.บทนำ

เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความเชื่อมต่อออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้การจัดการและประมวลผลข้อมูลมีความสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยจำนวนข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางข้อมูลในระยะทางไกลอาจสร้างความล่าช้า และปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการตอบสนองของระบบ ทำให้มีแนวคิดของ Edge Computing หรือการประมวลผลข้อมูลใกล้แหล่งกำเนิดข้อมูลจากอุปกรณ์ต่าง ๆ Edge computing นำเสนอการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลในแหล่งกำเนิดข้อมูลที่เกิดขึ้น ไม่ต้องส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลาง ทำให้สามารถลดภาระของเครือข่ายและเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนอง นอกจากนี้ยังช่วยให้การตัดสินใจสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว และเหมาะสมกับการปรับใช้ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิต โรงพยาบาล การค้าปลีก และอื่น ๆ

2.ความหมายของ Edge Computing

Edge Computing หมายถึงกระบวนการประมวลผลข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูลที่ใกล้กับแหล่งกำเนิดของข้อมูลหรืออุปกรณ์ที่สร้างข้อมูล คือการนำการคำนวณและการจัดเก็บข้อมูลไปอยู่ใกล้กับข้อมูลจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจเป็นที่ต้นทางหรือใกล้กับผู้ใช้งาน การทำงานใน Edge Computing ช่วยลดปัญหาการส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางข้อมูล (Central Data Centers) และลดเวลาที่ต้องใช้ในการส่งกลับข้อมูลกลับมาหาผู้ใช้งาน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการตัดสินใจให้เกิดขึ้นในเวลาที่เร็วขึ้น

3.องค์ประกอบของ Edge computing ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักต่อไปนี้:

3.1 อุปกรณ์ต้นทาง (Edge Devices): เป็นอุปกรณ์ที่สร้างข้อมูลและต้องการการประมวลผล ซึ่งอาจเป็นเซ็นเซอร์, อุปกรณ์ IoT, โทรศัพท์มือถือ, หรืออุปกรณ์ที่ใกล้กับแหล่งกำเนิดข้อมูล

3.2 อุปกรณ์ Edge Gateway: เป็นอุปกรณ์ที่ตั้งอยู่ระหว่างอุปกรณ์ต้นทางและระบบ Cloud หรือ Data Center เพื่อช่วยในการจัดการและส่งข้อมูลไปยังแหล่งปลายทางที่เหมาะสม

3.3 การประมวลผลแบบ Edge: คือการทำงานของการประมวลผลข้อมูลบนอุปกรณ์ต้นทางเอง ซึ่งช่วยลดการส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางและเพิ่มความเร็วในการตอบสนอง

3.4 การจัดเก็บข้อมูลแบบ Edge: การเก็บรักษาข้อมูลบนอุปกรณ์ต้นทางเพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว โดยไม่ต้องส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลาง

3.5 การควบคุมและการจัดการแบบ Edge: การจัดการและควบคุมระบบข้อมูลบนอุปกรณ์ต้นทาง รวมถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยและการอัพเดต

3.6 การเชื่อมต่อเครือข่ายและการสื่อสาร: การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต้นทาง, อุปกรณ์ Edge Gateway, และระบบ Cloud หรือ Data Center เพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความสื่อสาร

3.7 ระบบ Cloud หรือ Data Center: ที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและทำการประมวลผลข้อมูลในกรณีที่ข้อมูลต้องถูกนำกลับไปยังศูนย์กลาง Edge computing ช่วยให้การประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูลเกิดขึ้นในที่ต้นทาง ทำให้เกิดความเร็วและประสิทธิภาพในการตอบสนอง และเปิดโอกาสให้กับการใช้ประโยชน์จากข้อมูลในเวลาจริงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

4.ด้านประสิทธิภาพของ Edge Computing ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบเครือข่ายและการสื่อสารดังนี้:

4.1 ความเร็วในการตอบสนอง: Edge Computing ช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางข้อมูล ทำให้ระบบสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้งานได้อย่างรวดเร็วและเหมาะสมมากขึ้น

4.2 ลดภาระของเครือข่าย: การประมวลผลข้อมูลบนต้นทางช่วยลดการส่งข้อมูลที่ต้องเกิดขึ้นบนเครือข่าย ทำให้เครือข่ายมีประสิทธิภาพมากขึ้นและช่วยลดขั้นตอนกระบวนการการจัดส่งข้อมูลให้น้อยลงอีกด้วย

4.3 การประมวลในทันทีทันใด: การประมวลผลข้อมูลในที่ต้นทางช่วยให้สามารถดำเนินการแบบเรียลไทม์ได้ ทำให้การตรวจสอบและการตัดสินใจสามารถเกิดขึ้นในขณะเกิดเหตุการณ์

4.4 ความเสถียรภาพของระบบ: การทำงานใน Edge Computing ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการสูญเสียการเชื่อมต่อกับศูนย์กลางข้อมูล หากมีการขาดการเชื่อมต่อเครือข่าย

4.5 ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย: ข้อมูลที่ถูกประมวลผลบนต้นทางมีโอกาสน้อยกว่าที่จะถูกส่งไปยังศูนย์กลางข้อมูลเพื่อประมวลผล ทำให้มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยกว่า

4.6 การประหยัดทรัพยากร: การทำงานบนอุปกรณ์ต้นทางช่วยลดการใช้งานทรัพยากรบนระบบ Cloud หรือ Data Center ที่ต้องมีการประมวลผลมากกว่า

4.7 การนำข้อมูลสู่การใช้ประโยชน์: Edge Computing ช่วยให้การประมวลผลข้อมูลสามารถทำในตำแหน่งที่เหมาะสม ซึ่งช่วยให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจและการวิเคราะห์ในขณะที่ข้อมูลยังคงเป็นประโยชน์

ด้วยประสิทธิภาพดังกล่าวข้างต้น ทำให้ Edge Computing เป็นเทคโนโลยีที่สำคัญในการเตรียมความพร้อมสำหรับยุคของการประมวลผลแบบเรียลไทม์ และอินเทอร์เน็ตของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งสามารถนำไปใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรมและแนวทางการพัฒนาใหม่ได้

5.บทสรุป

Edge computing เป็นแนวคิดที่ท้าทายและน่าตื่นเต้นในโลกที่เติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อออนไลน์ ด้วยการเลือกที่จะประมวลผลข้อมูลและจัดเก็บข้อมูลใกล้แหล่งกำเนิด แนวคิดนี้เปิดโอกาสให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วในการตอบสนอง และความเหมาะสมในการปรับใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม

Edge computing ถูกพัฒนาควบคู่กับการเติบโตของอุปกรณ์ IoT และการสร้างข้อมูลที่มากขึ้น โดยการประมวลผลข้อมูลในที่ต้นทางช่วยลดการส่งข้อมูลไปยังศูนย์กลางข้อมูล ทำให้เกิดความเร็วในการตอบสนองและการดำเนินการแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระของเครือข่าย และเพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล

การนำเสนอแนวคิด Edge computing มีประโยชน์ในหลายอุตสาหกรรม เช่น การผลิตที่มีความต้องการในการควบคุมและการจัดการข้อมูลใกล้ต้นทาง โรงพยาบาลที่ต้องการตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อการดูแลรักษาที่เหมาะสม และอุตสาหกรรมการค้าปลีกที่ต้องการการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับแผนการจัดหาสินค้า ด้วยความสามารถในการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดความล่าช้าในการตอบสนอง และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิด Edge computing จึงเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาในโลกของเทคโนโลยีและการสื่อสารในปัจจุบัน

การอ้างอิง

 M. Satyanarayanan, ‘‘The emergence of edge computing,’’ Computer,vol. 50, no. 1, pp. 30–39, Jan. 2017.

 W. S. Shi, X. Z. Zhang, and Y. F. Wang, ‘‘Edge computing: State-of-the-art and future directions,’’ J. Comput. Res. Develop., vol. 56, no. 1, pp. 1–21,

2019.

 W. Shi, H. Sun, J. Cao, Q. Zhang, and W. Liu, ‘‘Edge computing-an emerging computing model for the Internet of everything era,’’ J. Comput.Res. Develop., vol. 54, no. 5, pp. 907–924, May 2017.

Z. M. Zha, F. Liu, and Z. P. Cai, ‘‘Edge computing: Platforms; Applicationsand challenges,’’ J. Comput. Res. Develop., vol. 55, no. 2, pp. 327–337,2018.

X. Hong and Y. Wang, ‘‘Edge computing technology: Development and countermeasures,’’ Chin. J. Eng. Sci., vol. 20, no. 2, p. 20, 2018.