บทคัดย่อ
บทบาทผู้สอนของการจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นอย่างมากในระดับอุดมศึกษา ผู้สอนนอกจากจะเป็นผู้จัดการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียนทั้งในแบบการเรียนรู้แบบสืบสอบและการเรียนรู้ผ่านโครงงาน ซึ่งในที่นี้ผู้สอนเลือกใช้โครงการ Give Chance Project เป็นส่วนหนึ่งของการสอน มีเป้าหมายโครงการคือ สร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อการระดมทุนให้แก่โรงเรียนเศรษฐเสถียรซึ่งเป็นโครงการที่ผู้เรียนกำหนดขึ้นเอง การกำหนดปัญหาให้แก่ผู้เรียนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญต่อการวางแผนการเรียนการสอนของผู้สอน คำถามที่กำหนดให้แก่ผู้เรียนควรเป็นคำถามปลายเปิดที่กว้าง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้คิดและแสดงออกซึ่งความคิดเห็น รวมถึงสร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถที่ถนัดภายใต้กรอบที่ผู้สอนกำหนดไว้ ดังนั้น บทบาทของผู้สอนที่มีต่อผู้เรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญทั้งในด้านของผู้อำนวยความสะดวก เนื่องจากโครงงานอาจต้องมีการดำเนินการประสานงาน การอำนวยความสะดวกของผู้สอน จะช่วยให้ผู้เรียนดำเนินงานได้เร็วขึ้นและไม่รู้สึกเป็นภาระจนเกินไป ในด้านของที่ปรึกษา ผู้สอนจำเป็นต้องถ่ายทอดความรู้ ความคิด ประสบการณ์ผ่านการให้คำปรึกษา ด้วยการอธิบายถึงที่่มาในการตัดสินใจต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน ซึ่งเป็นการปลูกฝังทักษะการคิดอย่างมีเหตุผล และรวมถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่พร้อมกับผู้เรียน ผู้สอนสร้างบทบาทตนเองในลักษณะของทีมงานมากกว่าอาจารย์ นอกจากนี้ผู้สอนควรมีทักษะการใช้จิตวิทยากับผู้เรียน เช่น การสร้างแรงกดดันผ่านการลงโทษ การกำหนดกติกา การกำหนดวิธีการประเมิน การเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การวางตนเองเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้เรียนได้ซึมซับวิธีคิด การทำงาน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจจากประสบการณ์ มากกว่าการอ่านหรือค้นคว้า
คำสำคัญ : การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21, บทบาทผู้สอน, การจัดการเรียนรู้, จิตวิทยาการสอน, การเรียนรู้จากปัญหา
บทนำ
การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อการระดมทุนแก่โรงเรียนเศรษฐเสถียรนี้ เป็นการดำเนินกิจกรรมภายใต้วิชา เทคนิคการสื่อสารองค์การแบบผสมผสานของผู้เรียนชั้นปีที่ 4 ในหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์และการสื่อสารองค์การ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เพื่อให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้และทักษะที่ได้ศึกษามาตลอดหลักสูตรในการปฏิบัติงานจริงและทำประโยชน์เพื่อสังคม ดังนั้น การจัดการเรียนการสอนจึงเริ่มจากผู้สอนกำหนดปัญหาให้ผู้เรียนว่า “เราจะใช้การสื่อสารเพื่อแก้ปัญหาให้ใคร”
จากปัญหาที่กำหนดเป็นโจทย์นั้น ผู้เรียนได้ประชุมและหารือกันในกลุ่ม 13 คน ซึ่งเริ่มต้นจากการสืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ปัญหาของสถานที่ต่างๆ และได้เสนอกิจกรรมการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อการระดมทุนให้แก่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน ภายใต้ชื่อโครงการ Give Chance Project และได้กำหนดกิจกรรมการทำงานคือ สร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อระดมทุน และการทำประชาสัมพันธ์ ซึ่งระยะแรกในการดำเนินกิจกรรมผู้เรียนได้เลือกการทำสติ๊กเกอร์ไลน์และทำการประชาสัมพันธ์เพื่อการระดมทุน ร่วมกับการทำคลิปวีดีโอสั้นไม่เกิน 3 นาที ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) ซึ่งผู้เรียนและผู้สอนได้ประเมินผลงานในส่วนของสติ๊กเกอร์ไลน์ซึ่งออกแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น พบว่างานที่ได้นั้นไม่สอดคล้องกับแนวคิดและไม่สามารถสื่อสารได้ตามวัตถุประสงค์ อีกทั้งส่วนแบ่งทางการตลาดไม่คุ้มค่าจึงประเมินร่วมกันว่า ยกเลิกการทำสติ๊กเกอร์ไลน์เพื่อการระดมทุน และทำเฉพาะคลิปวีดีโอสั้น 3 นาที แบ่งเป็นคลิปวีดีโอประชาสัมพันธ์เพื่อการระดมทุนจำนวน 2 เรื่อง ได้แก่ 1) การศึกษาที่ไร้เสียง 2) ความเสี่ยง และคลิปวีดีโอเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ตระหนักถึงปัญหาของผู้บกพร่องทางการได้ยินจำนวน 1 คลิป คือเรื่อง ป้าอู๋ และได้ทำการประชาสัมพันธ์เผยแพร่คลิปดังกล่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และเมื่อสิ้นสุดโครงการแล้วนั้น ได้มีการส่งสรุปผลการทำงานและสื่อทั้งหมดให้แก่โรงเรียนเศรษฐเสถียรเพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ในส่วนของโรงเรียนต่อไป
การดำเนินการจัดการเรียนการสอนนี้ ได้สอดคล้องกับการศึกษาในยุคศตวรรษที่ 21 ภายใต้การเรียนการสอนในรูปแบบการกำหนดกรณีการแก้ปัญหา (Case-base Learning)
การเรียนรู้จากการดำเนินโครงการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์
ส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ที่กำหนดลักษณะผู้เรียนมีคุณลักษณะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ ความสามารถในการคิดเพื่อสร้างองค์ความรู้ ความสามารถในการสื่อสารและความสามารถในการสร้างชิ้นงานบริการสังคม รวมถึงทัศนคติวิธีคิดในการแก้ปัญหาสังคม การเรียนการสอนในปัจจุบันจงได้มีการปรับกระบวนทัศน์การเรียนรู้เป็น 5 ขั้นตอน เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปสู่คุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดยผู้สอนต้องมีความเข้าใจและความสามารถในการพัฒนาผู้เรียน โดยโครงการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์นี้ได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1. การเรียนรู้ระบุคำถาม (Learning to question)
การเรียนการสอนในรายวิชา เทคนิคการสื่อสารองค์การแบบผสมผสาน เป้าหมายของรายวิชาและกลุ่มคือ การใช้การประชาสัมพันธ์หรือการสื่อสารเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งผู้สอนได้กำหนดโจทย์ไว้ว่า “เราจะใช้การสื่อสารเพื่อแก้ปัญหาให้ใคร” โดยให้เวลาแก่ผู้เรียนในการเลือกและให้คำตอบประมาณ 3-5 วัน และกลุ่มผู้เรียนได้เลือกการประชาสัมพันธ์เพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนในสังคมต่อโอกาสของผู้พิการ จำกัดกลุ่มที่ผู้บกพร่องทางการได้ยิน ซึ่งผู้สอนให้ผู้เรียนขยายผลของกิจกรรมให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการดำเนินโครงการทั้งต้อสังคมและมหาวิทยาลัยฯ ผู้เรียนได้เลือกโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ เป็นตัวแทนของผู้บกพร่องทางการได้ยินของสังคม
ลักษณะสำคัญของการเรียนรู้ระบุคำถามนี้ คือ การที่ผู้สอนตั้งคำถามปลายเปิดกับกลุ่มผู้เรียน พร้อมทั้งเสนอทางเลือกที่หลากหลายให้แก่ผู้เรียน เช่น การทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อชี้นำสังคมต่อปัญหาของผู้ป่วยจิตเวช หรือการปรับทัศนคติของคนในสังคมต่อคนขอทาน หรือการทำสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อการระดมทุนให้แก่หน่วยงานต่างๆ ซึ่งทางเลือกเหล่านี้ ผู้สอนได้อธิบายมุมมองของเรื่องต่างๆ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ข้อมูลเหล่านี้จะได้มาต่อเมื่อผู้สอนได้เก็บรวบรวมเป็นประสบการณ์และถ่ายทอดให้แก่ผู้เรียน ดังนั้น การถ่ายทอดประสบการณ์ดังกล่าวใช้การสื่อสารแบบสองทาง (Two-way communication) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ตั้งคำถามแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองต่างๆ ร่วมกับกับผู้สอน ส่วนนี้จึงเป็นการเรียนรู้ร่วมกัน
ขั้นตอนที่ 2. การเรียนรู้แสวงหาสารสนเทศ (Learning to search)
ขั้นตอนนี้ผู้สอนกำหนดไว้ให้ผู้เรียนต้องใช้ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ (Computing Skill) ทั้งในด้านของการเก็บข้อมูลศึกษาโครงการ และข้อมูลประกอบการดำเนินงานผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ ผู้สอนใช้วิธีการชี้แนะ (Coaching) เป็นหลัก โดยมีวัตถุประสงค์การดำเนินงานของผู้เรียนเป็นที่ตั้ง และรับฟังสิ่งที่ผู้เรียนคิดและแผนงานที่จะดำเนินงาน โดยผู้สอนทำหน้าที่ชี้แนะปัญหาที่คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น และขั้นตอนการประสานงานรวมถึงตั้งคำถามจากแผนงานของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้ศึกษาหาคำตอบด้วยตนเองและมาอธิบายให้ผู้สอนฟังในภายหลัง โดยอาศัยวิธีการชี้แนะแนวทางที่เหมาะสมมากกว่าการประเมินคำตอบของผู้เรียนว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด ดังนั้น ส่วนนี้จึงเป็นการจัดการเรียนรู้ในแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Child – centered approach)
ผลที่ปรากฏกับผู้เรียนในกระบวนการนี้คือ ผู้เรียนได้ดำเนินงานตามแผนงานและจุดประสงค์การทำงานที่กำหนด โดยที่ผู้เรียนสามารถใช้คอมพิวเตอร์หรือเครื่องมือสื่อสารอื่นที่สามารถเข้าอินเตอร์เน็ตได้ในการค้นคว้าหาข้อมูล สะท้อนถึงทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ของผู้เรียน ทั้งนี้จากการสังเกต ผู้เรียนเลือกใช้สมาร์ทโฟน (Smartphone) ในการค้นคว้าหาข้อมูลมากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์
ขั้นตอนที่ 3. การเรียนรู้เพื่อสร้างความรู้ (Learning to construct)
การหาความรู้ของผู้เรียนนั้น ผู้สอนได้เปิดให้ผู้เรียนร่วมกันอภิปรายงาน ซึ่งการอภิปรายนั้น ผู้สอนได้เฝ้าสังเกตพร้อมทั้งให้คำปรึกษาในบางเรื่อง พบว่า การเปิดให้ผู้เรียนได้มีการอภิปรายโดยอิสระ พฤติกรรมผู้เรียนที่ปรากฏคือ การค้นคว้าข้อมูล การประเมินแผนการทำงานและผลกระทบต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น และสามารถสรุปประเด็นเสนอผู้สอนได้ในเวลาที่กำหนด โดยสามารถร่วมอภิปรายกับผู้สอนได้อย่างมีหลักการและเหตุผล
นอกจากนี้การประสานงานระหว่างผู้เรียนและโรงเรียนเศรษฐเสถียร จากการสังเกตพบว่า ผู้เรียนได้นำคำปรึกษาไปปรับใช้ในการดำเนินงาน และประสานงานในการเก็บข้อมูลได้ตามแผนงานที่วางไว้
ขั้นตอนที่ 4. การเรียนรู้เพื่อสื่อสาร (Learning to communicate)
ด้วยลักษณะของโครงการที่ดำเนินงานนั้น มีลักษณะเป็นกิจกรรมความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) ผู้เรียนจำเป็นต้องประสานงานติดต่อกับทางโรงเรียนเศรษฐเสถียรเพื่อนำเสนอโครงการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอาศัยการทำงานตามหลัก 3P ได้แก่
1.) การวางแผน (Planning) ผู้เรียนทำความเข้าใจโครงการและแผนงานเพื่อการนำเสนอต่อทางโรงเรียนเศรษฐเสถียร โดยมีการแบ่งหน้าที่การทำงาน
2.) ขั้นเตรียม/ซักซ้อม (Preparation) ผู้เรียนได้สรุปข้อมูลและสาระสำคัญของโครงการเสนอต่อทางโรงเรียนเศรษฐเสถียร ได้แก่ วัตุประสงค์ของโครงการ กิจกรรมที่จะดำเนินการและสิ่งที่จะขอความอนุเคราะห์จากโรงเรียนช่วยดำเนินการ คือ นักเรียนร่วมถ่ายทำคลิปประชาสัมพันธ์ อาสาสมัครที่จะสอนภาษามือให้แก่ผู้เรียนและขั้นตอนการขอใช้สถานที่
3.) การนำเสนอ (Presentation) ผู้เรียนได้นำเสนอโครงการต่อโรงเรียนเศรษฐเสถียรตามที่ได้วางแผนและเตรียมการไว้
การเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าวผ่านการสังเกตพฤติกรรมการดำเนินงานของผู้เรียนและความคืบหน้าต่างๆ นั้น พบพัฒนาการที่ดี กล่าวคือ ผู้เรียนมีความรับผิดชอบต่องานของตนเองมากขึ้น คำนึงถึงขั้นตอนการทำงานและการประสานงานที่อยู่นอกขอบเขตตนเองมากขึ้น ซึ่งสะท้อนได้จากการปรับกระบวนการดำเนินงานในขั้นตอนการวางแผนผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ให้กระชับและเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงานมากที่สุด โดยเป็นการประชุมกันในกลุ่มและตัดสินใจกันเอง
ขั้นตอนที่ 5. การเรียนรู้เพื่อตอบแทนสังคม (Learning to service)
ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้ พร้อมทั้งประยุกต์ใช้ความรู้กับสถานการณ์ใหม่หรือภาระงานอื่นเพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าผู้เรียนเข้าใจและมีการนำผลงานไปเผยแพร่ ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรายวิชา เทคนิคการสื่อสารองค์การแบบผสมผสาน ที่ต้องการให้ผู้เรียนใช้ความรู้ที่ศึกษามาตลอดหลักสูตรในการสร้างประโยชน์ให้สังคม
กลุ่มผู้เรียนได้ดำเนินโครงการเพื่อผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ให้โรงเรียนเศรษฐเสถียร ซึ่งเป็นโรงเรียนสำหรับผู้บกพร่องทางการได้ยิน มีวัตถุประสงค์การสื่อสารคือ ให้คนในสังคมตระหนักถึงโอกาสทางการศึกษาของผู้บกพร่องทางการได้ยิน และตระหนักถึงปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บกพร่องทางการได้ยิน พร้อมทั้งการเปิดช่องทางการรับบริจาคเงินสมทบทุนเพื่อสร้างโอกาสให้แก่นักเรียนของโรงเรียน โดยกิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม CSR ของหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการประชาสัมพันธ์ฯ
การจัดการสอนจึงเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง อาศัยการตั้งคำถามเพื่อกำหนดทิศทางการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน และให้อิสระผู้เรียนในการคิดและวางแผนดำเนินการด้วยตนเอง ผู้สอนทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและผู้อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียน โดยสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ผ่านการอภิปรายและการสอบถามรายบุคคล กำหนดกลยุทธ์การสอนให้ผู้เรียนต้องมาพบตามเวลานัดหมาย โดยกำหนดตารางนัดหมายให้มีความยืดหยุ่นไม่เน้นเวลาที่แน่นอน เพื่อสังเกตความรับผิดชอบของกลุ่มผู้เรียน นอกจากนี้ในการให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนนั้น จะไม่วางบทบาทตนเองในสถานภาพอาจารย์ (ผู้สอน) แต่วางบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาการทำงานเป็นแบบอย่างและปลูกฝังทัศนคติการทำงานให้แก่ผู้เรียนได้นำไปใช้
ผู้สอนในยุคใหม่ควรมีวิธีสอนในรูปแบบสืบสอบ (Inquiry teaching method) ร่วมกับวิธีสอนแบบโครงงาน (Project teaching method) แม้ว่าตามหลักการแล้ววิธีการสอนทั้ง 2 รูปแบบมีวิธีการตามหลักวิทยาศาสตร์คอยกำกับ แต่ด้วยลักษณะโครงการที่ผู้เรียนเสนอนั้นเป็นเรื่องของการสื่อสารหรือนิเทศศาสตร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศิลปศาสตร์ส่งผลให้กระบวนการจัดการสอนมีความยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์โดยหวังผลที่ประสบการณ์ผู้เรียนเป็นหลัก
ดังนั้น ในการเรียนการสอนครั้งนี้ความรู้ของผู้เรียนที่ได้ในรูปแบบวิธีการสอนแบบสืบสอบ จึงเป็นความรู้ที่ผู้เรียนรู้และไม่รู้มาก่อน ซึ่งความรู้ใหม่ที่ผู้เรียนได้มาจากการทำงานที่ผิดพลาด เป็นการเรียนรู้จากความผิดพลาดในการประสานงาน ซึ่งช่วยสร้างความระมัดระวังในการทำงานมากขึ้น บทบาทของผู้สอนในการให้ผู้เรียนเรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งนี้คือ การให้คำปรึกษาและการตัดสินใจที่จะล้มเลิกสิ่งที่ผู้เรียนทั้งกลุ่มได้ดำเนินการเสร็จสิ้น โดยอธิบายเหตุผลประกอบการตัดสินใจให้ผู้เรียนรับรู้ รวมถึงอภิปรายในประเด็นความผิดพลาดดังกล่าว ในด้านความรู้ที่ได้จากในวิธีการสอนแบบโครงงาน ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการผลิตสื่อประชาสัมพันธ์ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนั้นผู้เรียนได้เรียนรู้และปฏิบัติมาก่อน ผู้สอนสามารถขยายขอบเขตงานให้ใหญ่ขึ้นได้ ซึ่งในกรณีนี้ผู้สอนกำหนดให้การสร้างสื่อประชาสัมพันธ์จะต้องส่งให้องค์กรอื่นได้ใช้งานจริง โดยต้องผ่านการทดลองใช้ก่อน ผลการเรียนรู้นี้เป็นสิ่งที่ผู้สอนไม่เคยรู้มาก่อน ทำให้คาดเดาผลที่เกิดขึ้นจากการเผยแพร่งานได้ยาก การวางแผนของผู้สอนในเรื่องนี้ คือ การวิเคราะห์สถานการณ์ร่วมกับศึกษากฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องก่อนการตัดสินใจและให้คำปรึกษาผู้เรียน
กลยุทธ์ผู้สอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
โครงการ Give chance project กับการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ภายใต้กลยุทธ์การเรียนการสอนและกระบวนการเพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ในการพัฒนาด้านความรู้ ทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ผู้สอนดำเนินการดังนี้
ด้านความรู้ อาศัยกระบวนการเรียนรู้สร้างความรู้และความเข้าใจด้วยรูปแบบการสืบสอบและการเรียนรู้แบบโครงงาน โดยรูปแบบของโครงงานนี้ผู้สอนกำหนดเป้าหมายไว้ที่ การนำผลงานไปใช้จริง นั่นคือ ชุดสื่อประชาสัมพันธ์ทั้งหมดนั้นต้องเผยแพร่สู่สาธารณชนได้จริงตามแผนการประชาสัมพันธ์ และต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ประโยชน์ได้จริงในระยะยาว
ด้านคุณลักษณะอันพึงประสงค์และเจตคติ แบ่งย่อยได้เป็น
1.) จริยธรรมในตัวบุคคล เริ่มต้นจากผู้สอนวางตัวเป็นแบบอย่าง เช่น ต้องการให้ผู้เรียนรับผิดชอบต่อเวลา ผู้สอนต้องรับผิดชอบต่อเวลาของตนเองที่นัดหมายกบผู้เรียนก่อน เริ่มต้นจากการนัดผู้เรียนว่าจะตรวจงานพร้อมทั้งเขียนข้อเสนอแนะภายในเที่ยงคืนวันนี้ ผู้สอนต้องทำได้ตามเวลา เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่ผู้เรียน หรือมุมมองในการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ ผู้สอนแสดงให้ผู้เรียนรู้จักการใช้กฎหมายด้านละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือละเมิดสิทธิเด็ก โดยการแนะนำแนวทางแก้ไขให้แก่ผู้เรียนดำเนินการ พร้อมการอธิบายเหตุผลประกอบ
2.) การใช้เทคโนโลยีของผู้เรียน ด้วยการที่หลักสูตรของผู้เรียนเป็นหลักสูตรนิเทศศาสตร์ฯ ผู้เรียนจึงมีทักษะพื้นฐานด้านเทคโนโลยีอยู่ในระดับหนึ่ง สามารถใช้ในการดำเนินงานตามเป้าหมายของโครงการได้ ในด้านนี้หลักสูตรและผู้สอนต้องวางแผนระยะยาว อาศัยการพัฒนาผู้เรียนตามหลักสูตร ซึ่งจะมีรายวิชาอื่นๆ ที่สามารถฝึกทักษะผู้เรียนในด้านนี้เป็นหลัก เมื่อมาถึงรายวิชาหรือโครงการของผู้เรียนนี้ ผู้สอนมีหน้าที่สนับสนุนและให้คำปรึกษาผู้เรียนเท่านั้น
ด้านทักษะและกระบวนการ ประกอบด้วยประเด็นย่อย ได้แก่
1.) การรู้หนังสือ ผู้สอนกำหนดรายละเอียดการทำงานที่ทำให้ผู้เรียนต้องอาศัยทักษะการเขียน การพูด ทั้งในรูปเล่มโครงการและสรุปโครงการ บทพูดในคลิปวีดีโอ นอกจากนี้ผู้สอนเพิ่มเติมการฝึกทักษะการออกแบบภาษา สำเนียงการพูดให้แก่ผู้เรียนผ่านโครงการของผู้เรียนในลักษณะการอธิบายเสริมและการยกตัวอย่าง
2.) การรู้เรื่องจำนวน ผู้สอนแฝงทักษะนี้ผ่านแผนการประชาสัมพันธ์ โดยกำหนดให้ผู้เรียนต้องเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์แต่ละสื่อทางสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) โดยกำหนดเป้าหมายของจำนวนผู้ชมไว้ ผู้เรียนต้องวางแผนและดำเนินการให้สำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนด
3.) ความสามารถในการใช้เหตุผล ทักษะนี้พัฒนาคู่กับการสร้างการเรียนรู้ ผู้สอนจะต้องอธิบายเหตุผลอันได้มาซึ่งคำปรึกษาและคำสั่งแก่ผู้เรียน ทำตนเองเป็นแบบอย่างให้ผู้เรียนทำตาม นอกจากนี้ การแนะนำผู้เรียนผู้สอนไม่ควรตัดสินว่าถูกหรือผิด แต่ใช้การสอบถามถึงเหตุผลการทำงานอันได้มาซึ่งแผนงานหรือผลงานดังกล่าว อันจะเป็นการฝึกผู้เรียนให้คิดและปฏิบัติงานภายใต้หลักเหตุและผล ข้อดีของรูปแบบการสอนลักษณะนี้คือ ผู้สอนจะไม่เข้าไปก้าวก่ายโครงงานที่ผู้เรียนเป็นคนคิดริเริ่มจนผู้เรียนเกิดความรู้สึกว่า โครงงานนี้ไม่ใช่ของตนเองแต่เป็นของผู้สอน
4.) ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การจัดการสอนนี้ใช้การสร้างโครงงานเป็นสื่อการสอน ซึ่งผู้สอนกำหนดปัญหาให้ผู้เรียนได้แก้ไข โครงการ Give chance project เป็นการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์เพื่อแก้ปัญหาที่สังคมขาดการตระหนักถึงโอกาสทางการศึกษาของนักเรียนผู้บกพร่องทางการได้ยิน ผู้เรียนจึงต้องมีการศึกษา ค้นคว้าและออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ในการเผยแพร่สู่สังคม
5.) ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ในการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ ผู้เรียนจะต้องคิดให้รอบด้านถึงผลกระทบทั้งต่อตัวบุคคล องค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบการตัดสินใจหรือการออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ให้เป็นประโยชน์สูงสุด
6.) ทักษะการทำงานอย่างรวมพลัง ผู้สอนกำหนดโครงงานให้ผู้เรียนเป็นกลุ่ม มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ ให้ผู้เรียนกำหนดกติการและบทลงโทษกันเอง ผู้สอนกำหนดช่องทางการสื่อสารให้ผู้ผู้เรียน และเคราพในบทบาทของผู้เรียนในการดำเนินงาน
7.) ทักษะการสื่อสาร ด้วยหลักสูตรของผู้เรียนเป็นหลักสูตรด้านการสื่อสาร ผู้เรียนจึงมีทักษะด้านนี้อยู่แล้ว ทั้งนี้ผู้สอนควรต้องแฝงการใช้เหตุผลในการสื่อสารให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดทักษะที่สมบูรณ์ที่สุด
8.) ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ ทักษะนี้อาศัยรายวิชาอื่นๆ ที่จัดการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์รับหน้าที่ฝึกและสอนผู้เรียนให้เกิดทักษะ และในการดำเนินโครงงาน ผู้สอนมีหน้าที่เพียงออกแบบกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ทบทวนทักษะดังกล่าว
ผู้สอนจำเป็นต้องมีพื้นฐานจิตวิทยาด้านการสื่อสาร
ในทางจิตวิทยาระบุว่า ความรู้ ความรู้สึก พฤติกรรม อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามบริบทแวดล้อมของผู้เรียน ดังนั้น ในกลยุทธ์การสอนทั้งหมดอาจมีผู้เรียนที่มีความรู้สึกไม่ชอบในกลยุทธ์การสอนข้อหนึ่ง อาจส่งผลถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนรายนั้นทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ ผู้สอนจึงต้องมีการประเมินพฤติกรรมผู้เรียนที่แสดงออกต่อการเรียนหรือกลยุทธ์การสอนเป็นระยะหรือตลอดการสอน เพื่อจะทำให้ผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้เกิดกับตัวผู้เรียนมากที่สุด ผู้สอนจึงอาจมีการสอนหรือให้คำปรึกษาแก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคลในบางกรณี
อีกทั้งสิ่งแวดล้อมทางสังคมของผู้เรียนมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่มีต่อกัน การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ กลุ่มและแนวทางปฏิบัติของกลุ่ม สถานการณ์และประสบการณ์ของผู้เรียนในกลุ่มแต่ละคน ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มีผลต่อการสร้างทัศนคติในตัวผู้เรียน และจะสะท้อนผลลัพธ์ไปยังกระบวนการสร้างทักษะการทำงานอย่างรวมพลัง ซึ่งเป็นหนึ่งในทักษะสำคัญที่จะทำให้โครงงานของผู้เรียนประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้
สิ่งที่ผู้สอนจัดการในส่วนนี้คือ การเก็บข้อมูลผู้เรียนในกลุ่มแต่ละคน เช่น การดูผลการเรียนในแต่ละรายวิชา การพูดคุยกับผู้เรียนและการสังเกตความถนัดเฉพาะทางของผู้เรียน เพื่อให้ผู้สอนสามารถวางแผนกำหนดหน้าที่ให้ผู้เรียนในแต่ละคนได้ รวมถึงการพัฒนาจุดอ่อนในตัวผู้เรียน กลยุทธ์ทางจิตวิทยาที่ผู้สอนได้ดำเนินการได้แก่
1.) ให้กลุ่มผู้เรียนเลือกหัวหน้ากลุ่มขึ้นมา โดยผู้สอนอธิบายบทบาทของหัวหน้ากลุ่มไว้ก่อนการคัดเลือก เช่น การติดตามงาน การวางแผนดำเนินงาน รวมถึงการร่วมประเมินผลงานรายบุคคลร่วมกับผู้สอน เพระฉะนั้นบุคคลที่กลุ่มผู้เรียนเลือกนั้น ทุกคนต้องเห็นตรงกันว่ามีความรับผิดชอบสูง และมีความเป็นกลางรวมถึงการมีภาวะผู้นำ
2.) จากการที่ผู้สอนได้ข้อมูลผู้เรียนแต่ละบุคคลแล้วนั้น ผู้สอนจะกำหนดหน้าที่กว้างๆ แก่ผู้เรียนซึ่งจะประกอบไปด้วยงานหรือหน้าที่ที่ผู้เรียนชอบหรือถนัด และงานหรือหน้าที่ที่ผู้เรียนนั้นไม่ถนัด กระบวนการนี้อาศัยแนวคิดการเลือกใช้คนให้ตรงกับงาน ร่วมกับการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนให้รอบด้าน
3.) ด้านการสร้างจริยธรรมในตัวบุคคลและการพัฒนาทักษะความสามารถในการใช้เหตุผล บทบาทสำคัญของผู้สอนในด้านนี้ คือ การวางตนเองเป็นแบบอย่างแก่ผู้เรียน เริ่มจากการตรงต่อเวลาของผู้สอน ส่งผลให้ผู้เรียนรู้สึกถึงความสำคัญต่อการตรงต่อเวลา สังเกตได้จากการส่งความคืบหน้างานตรงตามเวลานัดหมาย หรือการนัดประชุมแต่ละครั้งผู้เรียนจะพยายามมาให้ตรงเวลามากที่สุดหรือถ้ามาไม่ได้จะมีการแจ้งล่วงหน้า และการยอมรับบทลงโทษของกลุ่มกับการไม่รักษาเวล เป็นต้น ผู้สอนสามารถใช้กระบวนการนี้ในการสร้างบรรยากาศความกดดันในการดำเนินงานให้แก่ผู้เรียน เรียนรู้การทำงานภายใต้แรงกดดันจากสิ่งเร้ารอบข้าง ในขณะเดียวกันการพัฒนาทักษะการใช้เหตุผลของผู้เรียน ต้องมีการปรับบทบาทผู้สอนจากอาจารย์ให้เป็นส่วนหนึ่งของทีมงานหรือที่ปรึกษา ซึ่งในโครงการนี้พบว่าในช่วงเริ่มแรก ผู้เรียนได้ดำเนินงานทุกอย่างแล้วเสร็จตาแผนงานแต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่สมบูรณ์ตามเป้าหมายที่วางไว้ ผู้สอนตัดสินใจยกเลิกผลงานเหล่านั้นและเปลี่ยนแผนงานใหม่ โดยการอธิบายเหตุผลและผลกระทบที่จะตามมาให้แก่ผู้เรียนอย่างละเอียด เปรียบเสมอนการเฉลยข้อสอบให้ผู้เรียนได้เข้าใจเหตุผลความผิดพลาดที่เกิดขึ้น พัฒนาการที่เกิดขึ้นจากประเด็นนี้ คือ ผู้เรียนมีการคิดถึงผลลัพธ์ท่จะเกิดขึ้น มากกว่าผลสำเร็จของชิ้นงานที่ทำ
บทสรุป
แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2560-2579 ได้ระบุถึงการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และด้วยการสอนในระดับอุดมศึกษาซึ่งเป็นระดับที่ต้องพัฒนาประสบการณ์และความรู้ของผู้เรียนควบคู่กัน ผู้สอนในระดับนี้จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การสอนที่ต่างจากการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เหมาะสมกับผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา
ในขณะเดียวกันหลักสูตรการเรียนในระดับอุดมศึกษา มีความลึกและความเฉพาะเจาะจงที่มากขึ้น ส่งผลให้ผู้เรียนอาจสับสนหรือไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ได้ศึกษาเรียนรู้มานั้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้ทำอะไรหรือสามารถทำงานอะไรได้บ้าง ดังนั้น การสร้างการเรียนรู้ผ่านโครงการและกำหนดวัตถุประสงค์การทำงานให้สามารถใช้งานได้จริง ช่วยให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะและความสามารถของตนเองพร้อมกับการใช้ความรู้ ทักษะ ความสามารถที่ได้ศึกษามาช่วยพัฒนาสังคมได้
กลยุทธ์การสอนที่ได้อธิบายมาข้างต้น แสดงให้เห็นว่า บทบาทผู้สอนมีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ผู้สอนควรวางตัวเองเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้เรียนผ่านรูปแบบการสอนแบบโครงงานหรือโครงการผนวกกับรูปแบบการสอนแบบสืบสอบ ผู้สอนจำเป็นต้องมีการอธิบายความคิดหรือที่มาที่ไปของการตัดสินใจในประเด็นต่างๆ แก่ผู้เรียนเสมือนผู้สอนและผู้เรียนเป็นทีมงานเดียวกัน โดยผู้สอนทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกหรือที่ปรึกษา (Coaching) ให้แก่ผู้เรียน ไม่เข้าไปแทรกแซงแนวคิดและการดำเนินงานของผู้เรียน
ด้วยบทบาทของผู้สอนผ่านการสอนแบบโครงการหรือโครงงานนี้ ร่วมกับการใช้การสอนแบบการเรียนรู้จากปัญหา ผู้สอนอาจต้องมีการเรียนรู้เรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับโครงการของผู้เรียนมากขึ้น กล่าวคือ ต้องมีการเรียนรู้ไปพร้อมกัน บางสถานการณ์ต้องมีการหาข้อมูลและฝึกปฏิบัติร่วมกับผู้เรียนด้วย ดังนั้น ผู้สอนต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการดำเนินงานร่วมกับผู้เรียน มีความพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมถึงเรียนรู้ที่จะผิดพลาดและอาจรวมถึงเรียนรู้จากการปล่อยให้ผู้เรียนผิดพลาดโดยเจตนา ทั้งนี้ เพื่อหวังผลให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ การแก้ไขปัญหาที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์กับผู้เรียน