บทคัดย่อ
วรรณคดีกับศิลปะทุกแขนงล้วนแต่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งมิได้ ศิลปะของไทยมีความเจริญรุ่งเรืองมานับพันปี ตั้งแต่สมัยเชียงแสน สมัยสุโขทัย สมัยอู่ทอง สมัยอยุธยา และสมัยรัตนโกสินทร์ ถึงแม้ว่าจะมีวัฒนาการมาหลายยุคหลายสมัยผ่านการหล่อหลอมและผสมผสานทั้งตะวันออกและตะวันตก แต่ในปัจจุบันศิลปะไทยก็ยังคงรักษารูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ไว้อย่างเด่นชัดสามารถถ่ายทอดความงดงาม ความประณีตบรรจง จินตนาการ และความรู้สึกนึกคิด ผสมผสานกับการอ่านวรรณกรรมและวรรณคดีจนเกิดเป็นความซาบซึ้งทางสุนทรียภาพที่สอดแทรกอยู่ในศิลปะแขนงต่างๆ
คำสำคัญ : ความงามของวรรณคดี, ศิลปะแขนงต่าง ๆ
บทนำ
“ศิลปะ” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. (2554 : 1144) ให้ความหมายถึง “ฝีมือ” ฝีมือการช่าง การแสดงออกซึ่งอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์เห็น โดยเฉพาะหมายถึง วิจิตรศิลป์; (กลอน) เป็นชื่ออาวุธประเภท “ศร” เช่น “งามเนตร ดังเนตรมฤคมาศงามขนงวงวาดดังคันศิลป์” (จากเรื่องอิเหนา) หรือจากข้อความที่ว่า “พิศพักตร์ผ่องพักตร์ดั่งจันทร พิศขนง ก่งงอนดั่งคันศิลป์” (รามเกียรติ์ ร.1) ตามรูปศัพท์เป็นคำภาษาสันสฤตหากเป็นคำภาษาบาลีเขียนเป็น “สิปฺป” แปลว่า “ฝีมืออย่างยอดเยี่ยม” หรือแม้แต่ย้อนหลังไปในพจนานุกรมฉบับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ให้ความหมายของ“ศิลปะ” หมายถึง ฝีมือ ฝีมือทางการช่างการทำให้วิจิตรพิสดาร เช่น เขาทำดอกไม้ประดิดประดอยอย่างมีศิลปะผู้หญิงสมัยนี้มีศิลปะในการแต่งตัว รูปสลักวีนัสเป็นรูปศิลป์ การแสดงออกทางอารมณ์สะเทือนใจให้ประจักษ์ด้วยสื่อต่างๆ อย่างเสียง เส้น สี ผิว รูปทรงเป็นต้น เช่น ศิลปะการดนตรี ศิลปะการวาดภาพ ศิลปะการละคร วิจิตรศิลป์.(ส. ศิลฺป ป.สิปฺป ว่า มีฝีมืออย่างยอดเยี่ยม)
ศิลปกรรมไทยในแขนงต่างๆ
ศิลปกรรมไทยเกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจ จากความเลื่อมใสศรัทธาและความภูมิใจในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำให้เกิดความงามแขนงต่างๆ ดังที่ประสิทธิ์ กาพย์กลอนและนิพนธ์ อินสิน (2533 : 23) กล่าวถึงศิลปกรรมไทยไว้ว่า ศิลปกรรมไทยซึ่งสงเคราะห์เข้าตามหลักวิจิตรศิลป์ อันเป็นศิลปะที่เกี่ยวกับความประณีตงดงาม แบ่งออกเป็น 6 แขนง คือ สถาปัตยกรรม จิตรกรรม ประติมากรรม หรือ ปฏิมากรรม นาฏศิลป์ ดนตรีและบทเพลงจากดนตรี วรรณคดี ในบรรดาศิลปกรรมไทยทั้ง 6 แขนงดังกล่าวข้างต้น เป็นศิลปะที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาโดยตรงส่วนศิลปะแขนงอื่น ๆ เป็นลักษณะเด่นที่แสดงความเป็นไทย ทั้งเฉพาะแขนงและโดยส่วนรวมดังรายละเอียดต่อไปนี้
สถาปัตยกรรม ได้แก่ ศิลปะที่เกี่ยวกับการก่อสร้างศิลปกรรมไทยแขนงนี้มีหลายชนิดดังนี้ ปราสาท คือ เรือนมียอดโดยเฉพาะเป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดินทั้งส่วนพระองค์และส่วนราชการบ้านเมืองแต่ส่วนมากมักมิใช่เป็นที่ประทับเพราะเป็นที่ประดิษฐาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และใช้ประกอบพิธีตามแบบโบราณราชประเพณี หรือไม่เช่นนั้นก็ใช้รับแขกเมืองเพื่อเป็นเกียรติยศแก่บ้านเมือง ตัวอย่างปราสาท ที่สำคัญของไทย เช่น พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท สร้างในรัชกาลที่ 1 พระที่นั่งพุทไธสวรรค์สร้างในรัชกาลที่ 3 พระที่นั่งมหิศรปราสาท และ พระที่นั่งศิวาลัย สร้างในรัชกาลที่ 4 เป็นต้น
โบสถ์และวิหาร เป็นสิ่งก่อสร้างในศาสนา โบสถ์เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่นการอุปสมบทหรือการบวช การถวายผ้ากฐิน และการฟังพระธรรมเทศนา เป็นต้น ส่วนวิหารใช้เฉพาะการจำศีลภาวนา รูปลักษณะของโบสถ์และวิหารคล้ายคลึงกัน เฉพาะโบสถ์นั้นต้องมีกำแพงแก้วหรือเสมาล้อมรอบเพราะ “เสมา” หมายถึง หลักแสดงเขตของโบสถ์ซึ่งกำหนดเอาไว้ให้เป็นที่สำหรับพระสงฆ์มาประชุมทำพิธีต่าง ๆ ในศาสนา ส่วนวิหารไม่ต้องมีเสมา ทั้งโบสถ์และวิหารจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นพระประธานอยู่ลักษณะของโบสถ์และวิหารมักจะมีหลังคาสามเหลี่ยมใหญ่ซ้อนกันหลายชั้นบนยอดหลังคาแต่ละชั้นประกอบด้วยตัวช่อฟ้านาคสะดุ้ง และใบระกา จั่วในหลังคาประดับด้วยภาพหรือลายแกะสลักไม้บางแห่งเป็นรูปลงรักปิดทอง และประดับกระจก ต่อจากตัวหลังคาที่แท้ก็มีหลังคาปีกนกเสริมต่อมาอีก 1 หรือ 2 ชั้น หลังคาสามเหลี่ยมนี้ตั้งอยู่บนผนังและเสา
สถูปเจดีย์ สร้างขึ้นเป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธศาสนาหรือพระพุทธเจ้าซึ่งเห็นกันอยู่ตามวัดทั่วไปสถูปเจดีย์ที่ถูกต้องมักจะมีส่วนประกอบ 3 อย่าง คือ องค์สถูป หรือ ระฆัง หมายถึง การก่อพูนอิฐหรือหินเป็นเนินกลม ๆ แท่นหรือฐาน ตั้งซ้อนบนองค์สถูป และส่วนยอด สถูปเจดีย์ยังแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ เจดีย์กลม เจดีย์เหลี่ยม และเจดีย์ย่อมุม ฐานเจดีย์จะสร้างเป็นฐานเฉียง บอกให้รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืนล้วนแปรสภาพและแตกสลายไปในที่สุด
1. บัวคว่ำ 3 ชั้น หมายถึง โลกนรก โลกมนุษย์ และโลกสวรรค์
2. ปล้องไฉน หมายถึง สวรรค์ 6 ชั้น และพรหมโลก 16 ชั้น ซึ่งแบ่งไว้เป็น 2 ตอนเรียงตามลำดับ
3. ลูกแก้ว ซึ่งอยู่ปลายยอดเจดีย์ เป็นชั้นอรูปพรหม
4. หยาดน้ำค้าง หมายถึง พระนิพพาน
ปรางค์ หรือที่เรียกว่าพระปรางค์นั้น ถือว่าเป็นเจดีย์อย่างหนึ่ง ซึ่งเราได้รับอิทธิพล มาจากอินเดีย ลักษณะของปรางค์เป็นสถูปที่มียอดสูงขึ้นไป รูปคล้ายต้นกระบองเพชร และมีฝักเพกา แยกเป็นกิ่ง ๆ อยู่ข้างบน
วัง เป็นที่ประทับสูงสุดของพระมหากษัตริย์ จึงถูกสร้างขึ้นอย่างวิจิตรตระการตาเป็นศูนย์รวมความงามเลิศในแผ่นดินเอาไว้ ณ ที่แห่งเดียวกัน ประดับประดาด้วยสิ่งของที่มีค่ายิ่ง เป็นสถานที่ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ภาคภูมิใจใคร่จะได้เห็นได้ชม
นอกจากนี้บุญเกิด รัตนแสง (2541 : 32-33) ยังกล่าวถึงความงามอันวิจิตรตระการตาที่ช่างฝีมือได้ร่วมกันจัดสร้างขึ้นตามแบบที่นักออกแบบได้วาดไว้ตามจินตนาการ ดังเช่น
วัดไทย เป็นศูนย์รวมใจชาวพุทธ สร้างเพื่อใช้ทำกิจกรรมรวมวัดจึงต้องโล่งปลอดโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวกดี ยึดหลักเช่นเดียวกับบ้าน แต่อาจต่อกันหลายหลังไม่เปิดจั่วกลายเป็น “ทรงปั้นหยา” ไปบางแห่งก็สร้างเป็นที่รวมศิลปะพื้นบ้านทุกชนิดเอาไว้ให้เห็นเพื่อสร้างให้ผู้นับถือเกิดศรัทธา ปีติ ยินดี
บ้านไทย สร้างเป็นที่อาศัย ต้องสะดวก ปลอดภัย สบาย อากาศถ่ายเทได้สะดวก รูปทรงสวยงาม ทำประโยชน์ได้หลายอย่างแยกอธิบายตามองค์ประกอบของบ้านไทยได้ดังนี้
1. หลังคาบ้าน ทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่วยกสูง ใต้อกไก่ปล่อยเป็นช่องลมให้อากาศดีเข้ามาแทนที่อากาศเสียลอยต่ำเคลื่อนหนีไปด้วยอุณหภูมิสูงกว่า
2. ใต้ถุนสูง เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ทำเป็นที่พักผ่อนและทำงานบ้านบางแห่งเป็นที่เก็บยานพาหนะ ไว้เลี้ยงสัตว์กันขโมย เพราะใช้บันไดชักลากเมื่อยามเข้านอน
3. เรือนทุนหลักจะหันหน้าไปทางทิศเหนือหรือทิศใต้ก็ได้ ที่สำคัญมักปลูกเรือนยาวตามทางเดินดวงอาทิตย์ (ไม่ขวางตะวัน) เพื่อให้แสงตะวันลอดขื่อก็ตื่นขึ้นมาทำงานเช้าทันที และเมื่อมีลมมรสุมจะพัดจากตะวันออกเฉียงเหนือสู่ตะวันตกเฉียงใต้ในฤดูหนาว หรือสลับทางกันในฤดูฝน จะไม่ทำให้บ้านเรือนพังทลายเพราะไม่ขวางทางลม
4. หลังคาทรงสามเหลี่ยมสูงจะไม่ทำให้ผู้อาศัยร้อนอบอ้าว เพราะหลังคาเอียงรับแสงในแนวเฉียง บางส่วนก็สะท้อนกลับ บางส่วนก็เล็ดลอดไปได้ ทำให้ปรับอุณหภูมิไปในตัว และเมื่อเวลาฝนตกลงมาน้ำฝนจะไหลไปรวมกันทางใดทางหนึ่งตามที่กำหนดเอาไว้ ทำให้เจ้าของบ้านรองรับน้ำฝนมาใช้ได้อีกทางหนึ่งด้วย
วรรณคดีที่สัมพันธ์กับศิลปะ
บุญเกิด รัตนแสง (2541 : 35 – 38) กล่าวถึงความสัมพันธ์ของวรรณคดีกับสถาปัตยกรรมไว้ว่าสถาปัตยกรรมไทยมีความสง่างาม ความงดงามเลอเลิศ เป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นกวีแทบทุกคนได้บรรยายและพรรณนาถึงสถาปัตยกรรมไทยไว้ด้วยความชื่นชม ข้อที่น่าสังเกต คือ กวีบรรยายและพรรณนาถึงปราสาทราชวัง โบสถ์ วิหาร ปรางค์ ฯลฯ โดยเน้นความสวยงาม ความสง่า ความวิจิตรบรรจง มากกว่าที่จะบรรยายถึงรายละเอียดของส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมนั้นๆ วรรณคดีจึงมีความสัมพันธ์กับสถาปัตยกรรม วรรณคดีได้บรรจุศิลปะด้านสถาปัตยกรรมแบบไทยไว้ในเรื่องต่างๆ หลายเรื่องเพื่อชี้ให้เห็นฝีมือเชิงช่างที่มีความประณีต สวยงาม กลมกลืนกับธรรมชาติ ขอยกตัวอย่างดังต่อไปนี้
“…มีเจดีย์วิหารเป็นลานวัด ในจังหวัดวงแขวงกำแพงกั้น
ที่องค์ก่อย่อเหลี่ยมสลับกัน เป็นสามชั้นเชิงชานตระหง่านงาม
บันไดมีสี่ด้านสำราญรื่น ต่างชื่นชวนกันขึ้นชั้นสาม…”
(นิราศภูเขาทอง ของ สุนทรภู่)
จากคำประพันธ์ข้างต้นชี้ให้เห็นว่า สถาปัตยกรรมไทย นิยมหักเหลี่ยมย่อมุม พบตามต้นเสาและเจดีย์หากหักย่อเหลี่ยมละสามหยัก สี่มุมก็เป็นสิบสองหยัก เรียกว่า “เจดีย์ไม้สิบสอง” ถ้าหักมุมละสี่หยักก็เรียกว่า “เจดีย์ย่อมุมสิบหกเหลี่ยม” กลายเป็นสำนวนพูด “หักเหลี่ยม…” เป็นต้น
ความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบบ้านทรงไทย พบได้ในวรรณคดีร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ชูชก ก่อนที่ชูชกจะเดินทางไปขอสองกุมารคือพระชาลีและพระกัณหา มาเป็นทาสรับใช้ ก็แต่งบ้านให้มั่นคงแข็งแรง เพื่อเป็นมงคลสำหรับการเดินทางดังความต่อไปนี้
“…ธชีมิไว้ใจด้วยเคหา เก่าคร่ำคร่าซวนโซเซ อ่อนโอ้เอ้เอียงโอนเอน กลัวว่าจะคว่ำเครนครืนโครมลง โย้ให้ตรงกรานไม้ยัน ค้ำจดจันจุนจ้องไว้ เกลากลอนใส่ซีกครุคระ มุงจะจะจากปรุโปร่ง แลตะละโล่งลอดเห็นฟ้า ขึ้นหลังคาครอบจากหลบ โก้งโค้งกบกดซีกกรอบ ผ่าไม้ครอบคร่อมอกไก่ ไม้ข้างควายแขวะเป็นรู สอดเสียบหนูแน่นขันขัด ปั้นลมดัดเดาะหักห้อย กบทูย้อยแยกแครกคราก จั่วจุจากจัดห่างห่าง ฝาหน้าต่างแต่งให้มิด ล่องหลวงปิดปกซี่ฟาก ตงรอดครากเครียดรารัด ตอม่อขัดค้ำขึงขัง…” (ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก กัณฑ์ชูชก)
คำที่เน้นล้วนเป็นเครื่องเรือนผูกของไทยสมัยโบราณทั้งสิ้น อนึ่ง เครื่องเรือนผูก คือ ไม่มีการตอกตะปูใช้เชือกผูกทั้งหมด
นอกจากนี้วรรณคดีจะบรรยายถึงสิ่งก่อสร้างในวัดวาอาราม เพื่อเสริมศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพิ่มมากขึ้น คำสอนเป็นนามธรรมย่อมเห็นไม่ชัดเจนเท่ารูปธรรม เมื่อสร้างงานศิลป์ด้วยใจรักและแรงศรัทธา ร่วมแรงเสียสละเพื่อหวังรับกุศลผลบุญ งานที่สำเร็จนั้นย่อมงดงามยิ่ง ตรึงตาใจผู้พบเห็น ดังข้อความต่อไปนี้
“…เรืองเรืองไตรรัตน์พ้น พันแสง
รินรสพระธรรมแสดง ค่ำเช้า
เจดีย์ระดะแซง เสียดยอด
ยลยิ่งแสงแก้วเก้า แก่นหล้าหลากสวรรค์…”
(นิราศนรินทร์ ของ นายนรินทรธิเบศร์ (อิน))
วรรณคดีบางเรื่องสร้างจินตนาการไว้ยาวไกลเกินกว่าคนสมัยนั้นจะเห็นจริงหรือคล้อยตามจนกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน หลายเรื่องอาศัยวันเวลาผนวกกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้ความฝันนั้นกลับเป็นจริงขึ้นมาได้ ตัวอย่างเรือกำปั่นขนาดใหญ่ของโจรฝรั่งที่สุนทรภู่เขียนไว้ในเรื่องพระอภัยมณี มีใจความว่า
“…มีกำปั่นนั้นยาวสิบเก้าเส้น กระทำเป็นตึกร้านสถานถิ่น
หมากมะพร้าวส้มสูกปลูกไว้กิน ไม่รู้สิ้นเอมโอชโภชนา
เลี้ยงทั้งแพะแกะไก่สุกรห่าน คชสารม้ามิ่งมหิงสา
มีกำปั่นห้าร้อยลอยล้อมมา เครื่องศาสตราสำหรับรบครบทุกลำ…”
(พระอภัยมณี ของ สุนทรภู่ ตอนสินสมุทรโดยสารเรือโจรฝรั่ง)
ในปัจจุบันเรือเดินทะเลขนาดใหญ่ขับระวางน้ำสูง เดินทางไกล ๆ มีขนาดใหญ่โต สามารถดัดแปลงตบแต่งบรรยากาศให้คล้ายกับบ้านเพื่อให้ลูกเรือ กัปตัน และคนอื่นที่อยู่ในเรือนาน ๆ คลายความคิดถึงบ้านลงได้
วรรณคดีบางเรื่องผู้แต่งได้บรรยายให้เห็นความงดงามของสถาปัตยกรรมไทยว่างามเด่นเลิศกว่าสถาปัตยกรรมชาติใดในโลก แต่จะเทียบได้ก็เฉพาะฝีมือชาวสวรรค์ แดนในฝันของพวกเขาเท่านั้น แสดงว่าผู้แต่งนั้นกล่าวด้วยความภาคภูมิในศิลปะของไทย ภูมิใจในสถาปัตยกรรมไทยที่บรรพบุรุษได้ร่วมใจกันบรรจงสร้างไว้ คู่ชาติไทยไม่ว่าวัดพระแก้วก็ดี พระบรมหาราชวังก็ดี หรือสถานที่สวยงามอื่น ๆ ก็ตาม ล้วนชี้นำความเป็นเลิศของช่างไทยทั้งสิ้น ดังตัวอย่าง
“…อำพนพระมณทิรพระราช สุนิวาสน์วโรฬาร์
อัพภันตรไพจิตรและพา หิรภาคก็พึงชม
เล่ห์เลื่อนชะลอดุสิตฐา นมหาพิมานรมย์
มารังสฤษฎิ์พิศนิยม ผิจะเทียบก็เทียมทัน
สามยอดตลอดระยะระยับ วะวะวับสลับพรรณ
ช่อฟ้าตระการกลจะหยัน จะเยาะยั่วทิฆัมพร
บราลีพิลาศศุภจรูญ นภศูลประภัสสร
หางหงส์ผจงวิจิตรงอน ดุจกวักนภาลัย
รอบด้านตะหง่านจัตุรมุข พิศสุกอร่ามใส
กาญจน์แกมมณีกนกไพ- ฑูรย์พร่างพะแพรวพราย…”
(สามัคคีเภทคำฉันท์ ของ นายชิต บุรทัต)
สรุป
ศิลปกรรมไทยมีลักษณะเด่นและเป็นเอกลักษณ์ในด้านความอ่อนหวาน ความประณีตการผสมผสานธรรมชาติและความยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์สืบเนื่องมาช้านาน แม้ว่ากาลเวลาตลอดจนความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะเข้ามามีส่วนที่ทำให้ศิลปะแขนงต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไปบ้างในแง่ของการบันทึกถ่ายทอดที่ทำให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคมไทย ศิลปะทุกแขนงก็ยังมีคุณค่า ต่อคนไทยและสังคมไทยอย่างแจ่มชัดในด้านความไพเราะ ด้านคุณธรรม ด้านที่สะท้อนชีวิตสภาพสังคม และความรู้สึกนึกคิดของคนในชาติ อีกทั้งศิลปกรรมเหล่านี้ยังมีความสัมพันธ์กับภาษาไทยในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทย ในแง่ศัพท์เฉพาะของศิลปะแต่ละแขนง และในแง่ถ้อยคำสำนวนในภาษาไทยอีกด้วย
เอกสารอ้างอิง
เต็มสิริ บุณยสิงห์ และเจือ สตะเวทิน. (ม.ป.ป.). การละครเพื่อการศึกษา. กรุงเทพฯ : คุรุสภาลาดพร้าว.
นิตยา บุญสิงห์. (2554). วัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา.
บุญเกิด รัตนแสง. (2541). ภาษากับวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้งเฮ้าส์.
ประพนธ์ เรืองณรงค์. (2520). “ศิลปกรรมไทย”เอกลักษณ์ไทย. (2)42-47.
ประสิทธิ์ กาพย์กลอน และนิพนธ์ อินสิน. (2533). ภาษากับวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช.
ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554. (พิมพ์ครั้งที่ 2) กรุงเทพฯ :
นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์ จำกัด.