ตั้งแต่แรกคลอดนั้น บุคคลสำคัญในการทำหน้าที่ดูแลเด็กปฐมวัยคือ มารดาและครอบครัว
เด็กในช่วงทารกและวัยเตาะแตะนั้น จะเป็นช่วงที่เด็กต้องการสร้างความรักความผูกพันกับแม่ เพื่อ
สร้างสายสัมพันธ์ (attachment) ที่ดี ที่ทำให้ทารกเกิดความไว้วางใจ และเป็นการตอบสนองต่อความ
ต้องการด้านร่างกาย ขั้นพื้นฐานแรกสุดของมนุษย์ได้แก่การต้องการอาหารน้ำ การขับถ่าย การพักผ่อน
เป็นต้น ดังนั้นพ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูในครอบครัว จึงมีความสำคัญมากในการส่งเสริมพัฒนาการ และการ
เรียนรู้ของเด็กในระยะนี้ สรุปได้ดังนี้ (กรมสุขภาพจิต , ม.ป.ป., น.10-15 ; )
1. การส่งเสริมและดูแลเรื่องสุขภาพอนามัย
1) การดูแลในเรื่องภาวะโภชนาการ เด็กในช่วงวัยแรกเกิดถึง 6 ปี เป็นวัยที่มี
การเจริญเติบโตทางร่างกายทั้งน้ำหนักส่วนสูงและการเจริญของสมองอย่างรวดเร็วกว่าวัยอื่น ดังนั้น
พ่อแม่หรือผู้ปกครอง ควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีคุณค่าและปริมาณเพียงพอต่อความต้องการ
ของเด็ก อาหารที่สำคัญอย่างยิ่งของเด็กตั้งแต่แรกเกิดคือนมแม่ เนื่องจากเป็นอาหารที่ดีที่สุดของ
ทารกมีไขมันช่วยในการพัฒนาเซลล์สมองทําให้เด็กไม่ป่วยบ่อย มีระดับสติปัญญามากกว่าเด็กที่ไม่ได้
นอกจากนี้ในขณะที่ลูกดูดนมแม่ แม่ควรพูดคุย สบตายิ้มแย้มให้กับเด็ก จะช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัส
ทั้งห้า ส่งเสริมพัฒนาการและความมั่นคง ทางอารมณ์ของเด็กได้เป็นอย่างดี
โดยทั่วไป การกำหนดความต้องการพลังงาน และสารอาหารต่าง ๆ ในทารก
และเด็กขึ้นกับ อายุ เพศ น้ำหนักตัว และระดับกิจกรรมการใช้พลังงานของร่างกาย ในช่วงแรกเกิดถึง
อายุ 6 เดือน ปริมาณความต้องการสารอาหารจะอ้างอิงจากปริมาณนมแม่ที่ทารกได้รับ และอายุ 6
เดือนขึ้นไป ทารกต้องการสารอาหารต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จึงควรได้รับอาหารตามวัยควบคู่ไปกับนมแม่
องค์การอนามัยโลกได้ให้คำแนะนำว่า ทารกควรได้รับการเลี้ยงด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ซึ่งใน
นมแม่ 100 มิลลิลิตร จะมีสารอาหารต่าง ๆ ซึ่งพอเหมาะกับความต้องการของทารก และนมแม่
แตกต่างจากนมผสมคือ นมแม่ ให้สารที่สร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วย ช่วยพัฒนาเยื่อบุทางเดินอาหาร
ของทารก จึงป้องกันการเกิดโรคอุจจาระร่วงและพบว่า ทารกที่ได้นมแม่ไม่ค่อยเป็นโรคภูมิแพ้ หลัง
จากนั้นจึงให้เริ่มอาหารตามวัยควบคู่ไปกับนมแม่จนถึงเด็กอายุ 2 ปี
เด็กช่วงอายุ 1 – 6 ปี ส่วนใหญ่จะไม่สนใจอาหาร และไม่เจริญอาหารเหมือน
วัยทารก เพราะจะมีความสนใจด้านอื่นมาเกี่ยวข้อง เช่น การสำรวจสิ่งแวดล้อม และสนใจการเล่น
มากกว่า นอกจากนี้ เด็กยังเริ่มเลือกรับประทานอาหารในสิ่งที่ตนเองชอบ ดังนั้นผู้ปกครองควรสร้าง
สุขนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหารอย่างจริงจัง เด็กควรได้รับประทานอาหารหลักครบทั้ง 5 หมู่ ใน
แต่ละหมู่ควรรับประทานหลากหลายชนิดวันละ 3 มื้อ และดื่มนมเป็นอาหารเสริม เพื่อให้เด็กได้รับ
ปริมาณสารอาหารที่มีประโยชน์ และช่วยในการเจริญเติบโตอย่างเต็มที
1.1) เทคนิคการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากความสำคัญของนมแม่ จึงมี
การรณรงค์เลี้ยงทารกด้วยนมแม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แม่เข้าใจในการให้นมบุตรหลังคลอดมีเทคนิค
ดังนี้
(1) หลังคลอด ควรให้แม่ได้อยู่กับลูกและลูกได้ดูดนมเร็วที่สุดภาย
ใน 1 ชั่วโมง ใน 1-2 วันแรกหลังคลอด น้ำนมจะมีลักษณะเป็นน้ำนมเหลือง ที่เรียกว่า หัวน้ำนม
(colostrums) ไม่ควรบีบทิ้ง แต่สามารถให้ลูกกินได้เนื่องจากมีสารที่ให้ภูมิคุ้มกันโรคในปริมาณสูง
(2) ในวันแรก ๆ ควรให้ลูกดูดนมที่เต้านมข้างละ 4-5 นาที เพื่อ
กระตุ้นให้ฮอร์โมนโปรแลคติน (prolactin) จากต่อมใต้สมองส่วนหน้า (anterior pituitary gland)
ในสมองหลั่งเพิ่มขึ้นและฮอร์โมนนี้เอง จะไปกระตุ้นให้เต้านมแม่สร้างน้ำเพิ่มขึ้นขณะเดียวกันฮอร์โมน
ออกซิโตซิน จากต่อมใต้สมองส่วนหลัง (posterior pituitary gland) ในสมอง จะหลั่งเพิ่มและไป
กระตุ้นให้ท่อน้ำนมในเต้านามแม่บีบตัวเพื่อขับน้ำนมออกมา
(3) หลังคลอด 2-3 วันถัดไป น้ำนมจะเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่นควรให้
ลูกดูดนมนานขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เต้านมแม่สร้างน้ำนมอย่างต่อเนื่อง ในทางปฏิบัติแนะนำให้ทารกดูด
นมแม่ทุก 2-3 ชั่วโมงต่อไปจึงค่อยปรับตามความต้องการของทารก
(4) ก่อนให้นมลูกทุกครั้ง แม่ต้องล้างมือให้สะอาดใช้สำลีชุบน้ำต้ม
สุกเช็ดเต้านมให้สะอาด แม่นั่งในท่าที่สบาย อาจใช้หมอนหรือเบาะรองที่ตักแม่ เพื่อช่วยพยุงให้ลูก
สามารถดูดนมได้อย่างสะดวก เมื่อลูกดูดนมอิ่แล้ว ซึ่งจะสังเกตได้ว่าลูกมักจะเคลิ้มหลับ ให้แม่อุ้มลูก
พาดบ่า หรือ ตบที่หลังเบาๆ เพื่อไล่ลมจากกระเพาะอาหารช่วยให้ท้องไม่อืด
1.2) อาหารตามวัยสำหรับทารก (Complementary food) อาหารตาม
วัยหมายถึง อาหารอื่น ๆ นอกเหนือจากนมแม่ที่ให้เพิ่มเติมแก่ทารกที่อายุ 6 เดือนขึ้นไป จุดมุ่งหมาย
ของการให้อาหารตามวัย เพื่อช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตเต็มตามศักยภาพ เนื่องจากเมื่อทารก
อายุเพิ่มขึ้น ความต้องการสารหารต่าง ๆ จะเพิ่มขึ้นด้วย การให้อาหารตามวัยที่มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่ง
เหลวเป็นการช่วย ฝึกการเคี้ยวและการกลืนอาหารของทารก ช่วยให้เขาคุ้นเคยกับอาหารอื่น ๆ และ
เป็นการฝึกนิสัยการกินที่ดี เมื่อทารกเข้าสู่วัยเด็กเล็ก อาหารตามวัยควรมีสารอาหารครบ 5 หมู่ คือ
มีอาหารที่เป็นข้าว-แป้ง ไข่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ต่าง ๆ และตับบดหรือสับละเอียดสลับกันไป ส่วนเต้าหู้
ถั่วต้มเปื่อยต่าง ๆ สามารถใช้แทนเนื้อสัตว์ได้บ้าง ควรเติมผักใบเขียวต่าง ๆ หรือผักสีเหลือง-ส้ม โดย
บดหรือสับละเอียดใส่ในส่วนผสมอาหาร เพื่อให้ทารกคุ้นเคยกับรสชาติของอาหารที่มีผัก เมื่อทารก
อายุ 6 เดือนจะเริ่มมีฟันขึ้น สามารถให้ผลไม้ต่าง ๆ เนื้อนิ่มในระหว่างมื้ออาหาร เช่น กล้วย ส้ม
มะละกอสุก ฯลฯ ผักผลไม้ให้วิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ และช่วยให้ขับถ่ายสะดวก จึงควรจัดให้ทุกวัน
ตารางที่ 3 แนวทางการให้นมแม่และอาหารตามวัยสำหรับทารกแรกเกิดถึงอายุ 2 ปี
ช่วงอายุ
การให้นมแม่และปริมาณอาหารที่ทารกและเด็กควรได้รับใน 1 วัน
แรกเกิด-6 ขวบ
แนะนำให้ทารกกินนมแม่อย่างเดียว
6 เดือนขึ้นไป
ให้อาหาร 1 มือ โดย 1 มื้อประกอบด้วย ข้าวบดละเอียด 3 ช้อนกินข้าว เพิ่มไข่แดงหรือเนื้อปลา 1 ช้อนกินข้าวหรือตับบด 1 ช้อนกินข้าว เนื้อสัตว์
ต่าง ๆ และตับเป็นแหล่งที่ดีของธาตุเหล็กและสังกะสี เติมผักใบเขียวหรือ ผักสีเหลือง-ส้ม เช่น ตำลึง ฟังทอง ½ ช้อนกินข้าว เติมน้ำมันพืช ½ ช้อนชา ในอาหารที่ปรุงสุก เพื่อช่วยเพิ่มความเข้มข้นของพลังงานในอาหาร ไขมัน จากน้ำมันพืช จะช่วย การดูดซึมวิตามินบางตัว เช่น วิตามินเอ วิตามินดี ฯลฯ ไปใช้ประโยชน์ในร่างกาย ให้ผลไม้เสริม เช่น กล้วยสุก มะละกอสุก
1-2 ชิ้นโดยบดละเอียด
7 เดือน
ให้อาหาร 1 มื้อ โดย 1 มื้อประกอบด้วย ข้าวบดละเอียด 4 ช้อนกินข้าว ให้ไข่ต้มสุก ½ ฟอง สลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าวหรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น เนื้อปลาหรือเนื้อหมูหรือเนื้อไก่ 1 ช้อนกินข้าว เติมผักสุก เช่น ตำลึง ฟังทอง
1 ช้อนกินข้าว เติมน้ำมันพืช ½ ช้อนชา ในอาหารที่ปรุงสุก เพื่อช่วยเพิ่มความ เข้มข้นของพลังงานในอาหารให้ผลไม้เสริม เช่น มะละกอสุกหรือมะม่วงสุก 2 ชิ้น อาหารที่เตรียมควรมีลักษณะหยาบขึ้นเพื่อฝึกเด็กให้เคี้ยวอาหารดีขึ้น
8-9 เดือน
ให้อาหาร 2 มื้อ โดย 1 ประกอบด้วยข้าวสวยนิ่มๆ 4 ช้อนกินข้าว
ให้ไข่ต้มสุก ½ ฟองสลับกับตับบด 1 ช้อนกินข้าวหรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
เช่น เนื้อปลา หรือเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ 1 ช้อนกินข้าว เติมผักสุก เช่น
ตำลึง ผักกาดขาว ผักหวาน ฟักทอง หรือแครอท 1 ช้อนกินข้าว
เติมน้ำมันพืช ½ ช้อนชาในอาหารที่ปรุงสุก เพื่อช่วยเพิ่มความเข้มข้นของ พลังงานในอาหาร ให้ผลไม้เสริม 1 มื้อ เช่น มะละกอ 3 ชิ้น หรือ
กล้วยสุก 1 ผล โดยบดหยาบ ๆ
10-12 เดือน
ให้อาหาร 3 มื้อ โดย 1 ประกอบด้วยข้าวสวยนิ่มๆ 4 ช้อนกินข้าว
ให้ไข่ต้มสุก ½ ฟองสลับกับตับบด 1 ช้อน กินข้าวหรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ
เช่น เนื้อปลา หรือเนื้อหมู หรือเนื้อไก่ 1 ช้อนกินข้าว เติมผักสุก 1½ ช้อนกินข้าว เติมน้ำมันพืช ½ ช้อนชา ในอาหารที่ปรุงสุก เพื่อช่วยเพิ่ม
ความเข้มข้นของ พลังงานในอาหาร ให้ผลไม้เนื้อ นิ่มเป็นอาหารว่าง
เช่น มะม่วงหรือ มะละกอสุก 3-4 ชิ้น หรือส้มเขียวหวาน 1 ผล
13-24 เดือน
ให้อาหาร 3 มื้อ เป็นอาหารหลัก อาหารของเด็กจะคล้ายอาหารของผู้ใหญ่ แต่
เป็นอาหารที่ไม่รสจัดและไม่ควรเติมสารปรุงแต่งใด ๆ อาหาร 1 มื้อ ควรมีข้าว
สวยนิ่มๆ 1 ทัพพี เพิ่มโปรตีนโดยเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์ต่าง ๆ 1 ช้อนกินข้าวเติม ผักใบเขียว หรือผักสีส้มเหลือ ½ ทัพพี เพื่อเสริมวิตามิน และแร่ธาตุประกอบ
อาหารโดยวิธีผัด ทอดหรือทำเป็นแกงจืด และยัง แนะนำให้เด็ก ดื่มนมรสจืด
วันละ 2-3 แก้ว (400-600 มิลลิลิตร) เมื่อ อายุได้ 1½ ถึง 2 ปี เด็กจะเริ่มใช้ ช้อนตักอาหารกินได้ด้วยตนเอง จึงควรฝึกให้เด็กกินอาหารที่มีประโยชน์ โดย สอนบ่อย ๆ เช่น ประโยชน์ของผัก-ผลไม้ ที่ให้วิตามิน และ แร่ธาตุ เนื้อปลา จะให้โปรตีนทำให้ร่างกายแข็งแรง เด็กก็จะเริ่มเรียนรู้และ มีบริโภคนิสัยที่ดี ต่อไป ควรสร้าง บรรยากาศ และจูงใจเด็กให้ได้ลองกินอาหารใหม่ ๆ
ที่มา : วันทนีย์ เกรียงสินยศ และคณะ , 2559 , น.27-28
ดังนั้นในช่วงทารกแรกเกิด–6 ปี นมแม่ถือเป็นอาหารหลักของทารกเพราะ
มีสารอาหารและมีประโยชน์กับเด็กทารกอย่างเพียงพอ ส่วนการให้อาหารตามวัยเริ่มได้ตั้งแต่ 6 เดือน
ขึ้นไปควบคู่ไปกับนมแม่ โดยอาหารตามวัยควรมีสารอาหารครบ 5 หมู่ ถูกสุขอนามัยเพื่อเป็นการฝึก
นิสัยการกินที่ดี เมื่อทารกเข้าสู่วัยเด็กเล็ก
1.2 การดูแลสุขภาพปากและฟัน การดูแลฟันเด็กควรเริ่มตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่จําเป็น
ต้องรอจนกระทั่งฟันนํ้านมซี่แรกขึ้น ผู้ปกครองมีหน้าที่ในการเอาใจใส่ดูแลสุขภาพปากและฟันทั้งใน
ด้านการรักษาความสะอาดและการสอน ให้เด็กเลือกรับประทานอาหาร ที่ไม่ก่อให้เกิดสาเหตุของ
ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก เมื่อฟันซี่แรกเริ่มขึ้นอายุประมาณ 6 เดือน
ผู้ปกครองจะได้รับคําแนะนำ ในการดูแลสุขภาพช่องปากของเด็กตั้งแต่แรกเริ่ม ทั้งทางด้านการทํา
ความสะอาดช่องปากหลังรับประทานอาหารหรือนม การพบทันตแพทย์อย่างสมํ่าเสมอ
แนวทางปฏิบัติ ในการดูแลสุขภาพปากและฟัน มีดังนี้
1) ใช้ผ้าชุบนํ้าสะอาดเช็ดฟันและกระพุ้งแก้มให้เด็ก อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ ตอนเช้าและก่อนนอน
2) แปรงฟันให้เด็ก ด้วยแปรงสีฟันขนอ่อนนุ่ม เมื่อฟันขึ้นหลายซี่
3) สอนเด็กแปรงด้วยตนเองและผู้ปกครองแปรงซํ้า จนกว่าเด็กอายุประมาณ 6 ถึง 7 ปี เนื่องจากเด็กเล็กยังไม่สามารถใช้กล้ามเนื้อมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4) ควรให้เด็กดื่มนมแม่ แต่ถ้าเด็กกินนมผง นมผงไม่ควรมีลักษณะหวาน ถ้าจะ
ให้เด็กรับประทานอาหารเสริมที่มีลักษณะเหนียวข้นควรแปรงฟันให้เด็กหลังรับประทานอาหารเสริม
5) งดการดูดนมขวดและหลับไปพร้อมกับขวดนม
6) เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ เช่น ผลไม้ ถั่วต้ม หรือเนื้อสัตว์อบแห้งแทน ขนมหวาน
7) หมั่นตรวจและสังเกตฟันเด็ก โดยเปิดริมฝีปากเด็กดูฟันถ้าพบคราบสกปรก
ให้เช็ดหรือแปรงออกและ หากฟันสีขุ่นขาวหรือเปลี่ยนเป็นสีดำหรือมีรูผุ ควรพาเด็กไปพบทันตแพทย์
8) ควรพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก เพื่อรับคําแนะนำ
จากทันตแพทย์
1.3 การได้รับวัคซีน การฉีดวัคซีนเด็กนั้น จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกน้อยของคุณ
ให้มีสุขภาพดีและไม่มีการติดเชื้อโรคได้ง่าย พ่อแม่หรือผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปรับวัคซีนตาม
กำหนดทุกครั้งตามสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก เพื่อเป็นประโยชน์ในการติดตามการรับวัคซีนอย่าง
ครบถ้วน ตามกำหนด
คําแนะนําเกี่ยวกับการได้รับวัคซีน มีดังนี้
1) วัคซีนบางชนิด จําเป็นต้องได้รับมากกว่า 1 ครั้ง เพื่อกระตุ้นร่างกายสร้าง
ภูมิต้านทานได้สูงเพียงพอในระดับที่สามารถป้องกันโรคได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงควรพาบุตรหลานไป
รับวัคซีนตามกำหนดนัดทุกครั้ง
2) เด็กที่เจ็บป่วยเล็กน้อย เช่น หวัด ไอ หรือไข้ตํ่าสามารถรับวัคซีนได้
3) หลังได้รับวัคซีนบางชนิด เด็กอาจตัวร้อนเป็นไข้ ซึ่งจะหายได้ในเวลาอันสั้น
ให้เช็ดตัว ดื่มนํ้ามาก ๆ และให้ยาลดไข้ตามคําแนะนำของแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข
4) ถ้าเด็กเคยมีประวัติแพ้ยาหรือเคยมีอาการรุนแรงหลังได้รับวัคซีน เช่น ชัก
ไข้สูงมาก ต้องแจ้งแพทย์หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก่อนรับวัคซีนด้วย
5) แผลที่เกิดจากการรับวัคซีนป้องกันวัณโรค อาจเป็นฝีขนาดเล็กอยู่ได้นาน
3-4 สัปดาห์ ไม่จําเป็นต้องใส่ยาหรือปิดแผล เพียงใช้สำลีสะอาดชุบนํ้าต้มสุกที่เย็นแล้วเช็ดรอบ ๆ
แผล
2. การส่งเสริมเรื่องการเล่น การออกกําลังกาย และพักผ่อน
การเล่นของเด็กเป็นวิธีการเรียนรู้อย่างหนึ่งโดยธรรมชาติ การเล่นของเด็กที่แท้จริงต้อง
เปิดโอกาสให้เด็กเล่นอย่างอิสระทั้งทางกาย ทางความคิดและทางสังคม เด็กจะมีความสุขเมื่อได้เล่น
ผู้ปกครองควรจัดเวลาและสถานที่ให้เหมาะสม เพื่อให้เด็กได้มีการออกกำลังกายเคลื่อนไหว เช่น
การคืบ การคลาน การเกาะ การเดิน หรือการวิ่ง ในที่โล่งกว้างบรรยากาศถ่ายเท และคำนึงถึงความ
ปลอดภัย เพราะการเล่นการออกกำลังกายมีความสำคัญในการส่งเสริมพัฒนาการทุก ๆ ด้าน ให้เด็ก
แต่ละวัยเกิดการเรียนรู้ มีความสนุกสนาน ได้สำรวจค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ได้แสดงออกเลียนแบบ ท่าทาง
ต่าง ๆ ผู้ปกครองควรให้จัดกิจกรรมที่น่าสนใจให้เด็ก ๆ สามารถเล่นและออกกำลังกายไปด้วย ใน
ขณะเดียวกันหากเห็นว่าเด็กร่าเริงแจ่มใสสนุกเพลิดเพลินแสดงว่าการเล่นและออกกำลังกายของเด็ก
อยู่ในระดับพอดี ซึ่งจะเกิดผลดีทําให้เด็กคล่องแคล่ว กระฉับกระเฉง กล้ามเนื้อแข็งแรง ฝึกความคิด
สร้างสรรค์และเรียนรู้การแก้ไขปัญหาได้ดี ทั้งนี้ควรให้เด็กอยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ และระมัดระวัง
การเล่นที่ก่อให้เกิดอันตราย หรือการเลียนแบบที่อาจทําให้เด็กใช้ความรุนแรง เช่น การเล่นโลดโผน
เล่นรุนแรง การเลียนแบบที่ไม่ดี เช่น เล่นอาวุธหรือสถานที่ที่ไม่ปลอดภัย เช่น ที่สูง ใกล้ถนน ใกล้นํ้า
เป็นต้น หลังจากการเล่นและออกกำลังกายแล้ว ควรมีเวลาพักผ่อนอย่างเหมาะสมและเพียงพอ ซึ่ง
การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
ข้อเสนอแนะในการเลือกของเล่น
1. เลือกของเล่นที่ปลอดภัย คงทน ไม่มีมุม หรือเหลี่ยมคม ใช้สีที่ไม่เป็นพิษ มีความ
แข็งแรงคงทน ทําความสะอาดได้ง่าย มีนํ้าหนักที่เหมาะสมกับเด็ก
2. ของเล่นเหมาะสมกับวัย สีสันสดใส มีประโยชน์รอบด้าน และเด็กสามารถเรียนรู้ได้
หลากหลาย
3. หลีกเลี่ยงของเล่นที่มีขนาดเล็กให้กับเด็กที่อายุตํ่ากว่า 3 ปี เนื่องจากเป็นวัยชอบหยิบ
ของเล่นเข้าปาก
4. หลีกเลี่ยงของเล่นที่ส่งเสริมความก้าวร้าวรุนแรง เช่น ของเล่นที่เป็นอาวุธ
5. ของเล่นมีมาตรฐานความปลอดภัยโดยได้รับความปลอดภัยจากสถาบันที่ได้มาตรฐาน
เช่น มอก.
6. พ่อแม่อาจประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุที่มีในบ้าน หรือการพูดคุย เล่านิทาน ร้องเพลง
การทายปัญหา เล่นโยกเยก เล่นจ๊ะเอ๋ เล่นตบแปะ เล่นซ่อนหาแบบง่าย ๆ ให้เด็กรู้จักหาของเล่น ที่
เด็กชอบเล่น โดยเอาผ้าห่มปิดไว้เมื่อโตขึ้นค่อยซ่อนในที่ที่หายากขึ้น เด็กจะเรียนรู้ว่าสิ่งของต่าง ๆ
นั้น ยังคงมีอยู่แม้มองไม่เห็น เป็นต้น โดยอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ พูดชมเชยเมื่อเด็กทำสิ่งต่าง ๆ ได้
7. หาของให้เด็กจับและให้เด็กหัดคืบ คลานบนพื้นราบที่สะอาดปลอดภัย ควรเลือกของ
ที่มีขนาดพอเหมาะที่เด็กจะจับและถือได้อย่าใช้ของหลายอย่างเกินไปเพราะเด็กจะสับสน เมื่อคุ้นชิน
กับของชิ้นแรกจึงค่อยเริ่มชิ้นใหม่
8. จัดหาของที่มีสีสันสดใส และมีเสียง เวลาขยับแขวนไว้เหนือที่นอน เพื่อให้เด็กมองดู
เป็นการฝึกใช้สายตา หรือจัดหาสิ่งต่าง ๆ เคลื่อนไหวให้เด็กดู เล่นกลิ้งลูกบอลผ่านหน้า หรือตั้งไม้
บล็อกสูงแล้วกลิ้งลูกบอลชนหรือแขวนโมบาย ฯลฯ
ภาพที่ 1 ของเล่นที่เสริมสร้างพัฒนาการเด็กทารก
ที่มาhttps://www.momjunction.com/articles/toys-for-one-month-old-baby_00369015/#gref
3. การสร้างความผูกพัน ภูมิคุ้มกันทางจิตใจ
ระยะตั้งแต่อยู่ในครรภ์ถึงอายุ 5 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุด ของการสร้างรากฐานชีวิต
จิตใจของมนุษย์ เด็กมีความรู้สึก รับรู้สัมผัสทั้งรูป รส กลิ่น เสียง กายสัมผัส และยังเลียนแบบตั้งแต่
แรกเกิด สิ่งกระตุ้นที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกแรกเกิดคือประสบการณ์ที่เด็กได้รับจากความรักที่แม่มีต่อ
ลูก เด็กเล็ก ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์การเลี้ยงดูและภาวะแวดล้อมได้เร็ว และฝังลึกในจิตใจ ดังนั้น
การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่หรือผู้ปกครองก่อให้เกิดจุดเริ่มต้นของความผูกพัน ซึ่งผู้ปกครอง
สามารถสร้างความรักความผูกพันผ่านทางการให้อาหาร การสัมผัส โอบกอด เห่กล่อม สีหน้าอารมณ์
ของแม่การสื่อสารพูดคุย การมอง การร้องเพลง เล่านิทาน เล่นหรือทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งสิ่งต่าง ๆ
เหล่านี้ จะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ให้แก่เด็กทําให้เด็กเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ส่งเสริมพัฒนาการ
ด้านอารมณ์ และพัฒนาทักษะทางสังคม นอกจากนี้การเลี้ยงดูเด็ก ส่งผลให้เด็กเป็นผู้ที่มีสติปัญญาดี
โดยการเลี้ยงดูที่ส่งเสริมให้ลูกฉลาดไม่ได้มีเคล็ดลับ เพียงเลี้ยงดูด้วยความรักความผูกพันที่พ่อแม่ลูกมี
ต่อกัน ก็สามารถกระตุ้นให้สมองลูกเกิดการสร้างเครือข่ายเส้นใยสมองมาเชื่อมโยงเซลล์สมอง ทำให้
สมองลูกพัฒนาได้ดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์ , 2543 , น. 55) เด็กจะเติบโตอย่างแข็งแรงใฝ่รู้
และใฝ่ดี พร้อมที่จะพัฒนาตนเองเพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ให้เป็นคนเก่ง คนดี อยู่อย่างมี
ความสุข และไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่ความช่วยเหลือให้กับผู้อื่นในสังคมด้วย ซึ่งจําเป็นต้องให้เวลาและเอา
ใจใส่อย่างสมํ่าเสมอ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างกัน เกิดความมั่นคงทางจิตใจ ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันทาง
จิตใจ จะมีความสำคัญต่อชีวิตของเด็กมาก
4. การระวังอุบัติเหตุและสารพิษ
การที่สมองเด็กได้รับความกระทบกระเทือนแรง ๆ หรือ ได้รับการกระแทกบ่อย ๆ จาก
อุบัติเหตุ จากการเล่นหรือจากการถูกจับเขย่าจะมีผลต่อสมอง อาจทําให้สมองช้ากระทบต่อความจํา
และทักษะการเคลื่อนไหว ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนของสมองที่ได้รับการกระทบกระแทก เนื่องจากเนื้อสมอง
ที่ละเอียดและซับซ้อน เป็นส่วนที่เปราะบางเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารพิษ สมองเด็กจะมีความเสี่ยง
ต่อสารพิษที่ละลายในนํ้า เช่น สารปรอท สารตะกั่ว ส่งผลอันตรายต่อสมองของเด็กเพราะทําให้สมอง
ถูกทําลายได้ ถ้าสมองถูกทำลายประสิทธิภาพในการเรียนรู้จะลดลงตามไปด้วย
4.1 การพลัดหกล้ม การชนกระแทก พ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดูควรป้องกัน ดังนี้
1) ไม่วางเด็กบนที่สูงโดยลำพัง
2) ไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถหัดเดินเพราะทำให้เด็กเดินช้า พลิกคว่ำได้ง่ายและ
ตกที่สูงได้ง่าย
3) ควรมีประตูกั้นที่บันไดที่สูงกว่าตัวเด็กและปิดกลอนไว้เสมอ
4) ซี่ราวบันไดและลูกกรงต้องมีช่องห่างไม่เกิน 9 เซนติเมตร เพื่อไม่ให้เด็กรอดได้
5) หน้าต่างต้องอยู่สูงจากพื้นประมาณ 1 เมตร เพื่อป้องกันเด็กปีนป่ายเอง
6) ควรระวังเด็กปีนป่ายหรือโหนชั้นวางของโต๊ะตู้ ควรมีอุปกรณ์ยึดติดกับกำแพง
เพื่อป้องกันการล้มคว่ำทับเด็ก
7) หมั่นตรวจสอบประตูรั้วบ้านโดยเฉพาะประตูเลื่อนที่น้ำหนักมาก เพื่อป้องกัน
การล้มทับเด็ก
4.2 ความร้อนลวกและอันตรายจากไฟฟ้า
1) อย่าอุ้มเด็ก หรือให้เด็กนั่งตักขณะถือของร้อน
2) ติดตั้งปลั๊กไฟสูง 1.5 เมตร ให้พ้นมือเด็กหรือใช้อุปกรณ์ครอบปลั๊กไฟ
3) อย่าวางของร้อนบนพื้นหรือบนโต๊ะที่มีผ้าปูโต๊ะห้อยชาย
4) เก็บสายไฟ กาน้ำร้อนให้พ้นมือเด็ก
5) ต่อสายดินและเครื่องตัดไฟอัตโนมัติ
4.3 อุบัติเหตุจราจร
1) ไม่ควรให้เด็กอายุน้อยกว่า 9 เดือน โดยสารรถจักรยานและไม่ควรให้เด็กอายุ
น้อยกว่า 2 ปี โดยสารรถจักรยานยนต์
2) เด็กต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเมื่อโดยสารรถจักรยาน หรือจักรยานยนต์
3) ควรติดตั้งที่นั่งสำหรับเด็กที่เบาะที่นั่งด้านหลังในรถยนต์ ถ้าอายุน้อยกว่า 2 ปี
ให้หันหน้าเด็กไปด้านหลังรถ หากเป็นรถไม่มีเบาะหลังให้ติดที่นั่งเด็กข้างเบาะคนขับและห้ามใช้ถุงลม
นิรภัย
4) อย่าทิ้งเด็กไว้ในรถคนเดียว และผู้ใหญ่ต้องตรวจสอบว่า ลืมเด็กในรถทุกครั้ง
ก่อนลงจากรถ
5) ก่อนถอยรถหรือออกรถให้สำรวจทุกครั้งว่าไม่มีเด็กใกล้รถ
สรุปว่า ในช่วงวัยทารกและวัยเตาะแตะ เป็นวัยที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ ด้วยความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ หรือผู้เลี้ยงดู รวมถึงการดูแลในเรื่องสุขภาพ อนามัย ความเจ็บป่วย เพื่อเป็นพื้นฐานในส่งเสริมการเรียนรู้ที่ซับซ้อนขึ้นและพัฒนาการในขั้นต่อไป
เอกสารอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต (ม.ป.ป). คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด-5 ปีสำหรับผู้ปกครอง. กรุงเทพฯ : กรม.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2546ก). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546. กรุงเทพ: กระทรวง.
ชนิกา ตู้จินดา. (2552). คู่มือเลี้ยงลูก. (พิมพ์ครั้งที่ 25). กรุงเทพฯ: รักลูกกรุ๊ป.
พัชรี ผลโยธิน และอรณี หรดาล. (2558). หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพัฒนาการและ
การเรียนรู้ ของเด็กปฐมวัยในเอกสารการสอนชุดวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของ
เด็กปฐมวัย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). นนทบุรี : สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช.
วันทนีย์ เกรียงสินยศ, กิตติพร พันธุ์วิจิตรศิริ, อุรุวรรณ แย้มบริสุทธิ์, ณัฐวรรณ เชาวน์ลิลิตกุล,
กุลพร สุขุมาลตระกูล, ชนิพรรณ บุตรยี่,…. วรรณี นิธิยานันท์. (2559). องค์ความรู้ด้าน
อาหารและโภชนาการสำหรับทุกช่วงวัย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา.
ณัฐภร อินทุยศ. (2556). จิตวิทยาทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์. (2543). สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่). (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2547). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 (สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี). กรุงเทพฯ: กระทรวง.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2556). บทบาทของพ่อแม่ครูพี่เลี้ยงและผู้ดูแลเด็กในการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : สักนักงาน.
สุขจริง ว่องเดชากุล. (2558). หน่วยที่ 2 การเจริญเติบโตพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ในเอกสาร
การสอนชุดวิชาสุขภาวะเด็กปฐมวัย. (พิมพ์ครั้งที่ 1). นนทบุรี : สาขาวิชาศึกษาศาสตร์
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
Manjiri Kochrekar. (2017, 5 April). Baby’s toys. Retrieved from https://www.momjunction.com/articles/toys-for-one-month-old-baby_00369015/#gref