การส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กอายุ 3-6 ปี
ผศ.พรรษา ตระกูลบางคล้า
เด็กปฐมวัยอายุ 3-6 ปี เป็นช่วงเข้าโรงเรียนอนุบาล เพื่อเรียนรู้การเข้าสังคมและส่งเสริมการเรียนรู้จากการปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงเรียน ดังนั้นครูและผู้ที่เกี่ยวข้องจึงมีบทบาทสำคัญ ในการส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ ดังนี้ (ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, 2542, น.51-69; พัชรี ผลโยธิน, 2558, น. 1-37 ถึง 1-38 ; วันทนีย์ เกรียงสินยศ และคณะ, 2559, น. 29-30)
1.ภาวะโภชนาการ เด็กปฐมวัย เป็นวัยที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเด็กทุกคนต้องการอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและเพียงพอในแต่ละวันเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงให้พลังงานในการทำกิจกรรมแต่ละวัน และสร้างภูมิต้านทานโรคให้กับตัวเด็ก โดยหลักในการจัดอาหารให้เด็กควรคำนึงถึงว่าเด็กได้รับอาหารครบ 3 มื้อ และมีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของเด็กแต่ละคน และอาหารที่เด็กรับประทานมีคุณภาพตามหลักโภชนาการและถูกสุขอนามัย
อาหารสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี
เด็กอายุ 3-6 ปี เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของร่างกายอารมณ์และสังคมซึ่งเด็กวัยนี้มีความต้องการสารอาหารต่าง ๆ เพิ่มขึ้น โดยทั่วไปในช่วงอายุนี้ เด็กจะมีอัตราการเพิ่มน้ำหนัก 2-3 กิโลกรัม ต่อปี และส่วนสูงเพิ่ม 5-8 เซนติเมตร ต่อปี เป็นวัยที่มีกิจกรรมเคลื่อนไหวและการเล่นมากขึ้น ทำให้ร่างกายต้องการสารอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งสารอาหารหลักที่เด็กวัยนี้ต้องการ ดังนี้
1) พลังงาน จากอาหารที่เพียงพอจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและเพื่อรักษาสภาพสมดุลร่างกายและมีสำรองให้ร่างกายใช้ เมื่อเด็กมีกิจกรรมเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้นหรือในยามเจ็บป่วย เด็ก3-5 ปี ต้องการพลังงานวันละ 1,000-1,300 กิโลแคลอรี อาหารที่ให้พลังงานจะได้จากหมวดข้าวแป้งธัญพืชต่าง ๆ น้ำตาลและไขมันจากพืชและสัตว์
2) โปรตีน อาหารโปรตีนช่วยการเจริญเติบโตและสร้างกล้ามเนื้อต่าง ๆ เด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนวันละ 1.2-1.4 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน (18-22 กรัมต่อวัน) อาหารที่ให้โปรตีน คือ ไข่ นม เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เช่น เนื้อปลา หมู ไก่ หรือ อาจให้อาหารที่เป็นถั่วต้มเปื่อยต่าง ๆเต้าหู้ ฯลฯ ที่ใช้ทดแทนอาหารเนื้อสัตว์ในบางมื้อ เด็กควรได้รับไข่วันละ 1 ฟอง และได้ดื่มนมรสจืดทุกวัน ผู้ปกครองสามารถให้อาหารที่เสริมธาตุเหล็กโดยปรุงอาหารจากเนื้อสัตว์ ตับ เลือด ไข่แดงฯลฯ โดยจัดให้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาโลหิตจาง
3) ไขมันช่วยสร้างพลังงานแก่ร่างกาย และช่วยการดูดซึมวิตามินบางตัว เช่น วิตามินเอ ดี อีและ เค ในร่างกาย เด็กอายุ 3-6 ปี ไม่ควรได้รับไขมันเกินกว่าร้อยละ 30 ของพลังงานทั้งหมดเนื่องจากการได้รับไขมันมากเกินไป จะส่งผลให้เกิดโรคอ้วนได้ จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันอิ่มตัวต่าง ๆ เช่น ไขมันจากเนื้อสัตว์ น้ำมันหมู กะทิ มาการีน ฯลฯ เพราะในระยะยาวมีผลทำให้ระดับไขมันแอลดีแอล-คอเลสเทอรอล (ไขมันไม่ดี) ในเลือดเพิ่มขึ้น นำไปสู่การเกิดปัญหาไขมันในเลือดสูงและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่นๆ
ตารางที่ 1 ปริมาณพลังงานและโปรตีนที่เด็กก่อนวัยเรียนควรได้รับใน 1 วัน
อายุ (ปี)
น้ำหนักตัว (กิโลกรัม)
พลังงานที่ต้องการ (กิโลแคลอรีต่อวัน)
ปริมาณโปรตีนที่ต้องการ
กรัมต่อวัน
กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน
1-3 ปี
10-16.6
1,000
18
1.4
4-5 ปี
16.7-20.9
1,300
22
1.2
ที่มา : วันทนีย์ เกรียงสินยศ และคณะ, 2559, น.29
แนวทางการดูและการจัดอาหารสำหรับเด็กอายุ 3-6 ปี
พ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กต้องให้ความสำคัญ เรื่องคุณภาพและปริมาณอาหารต่าง ๆ ที่เตรียมให้เด็ก เลือกใช้วัตถุดิบอาหารที่มีคุณภาพ และวิธีการปรุงอาหารที่เหมาะสม หลักเกณฑ์การจัดเตรียมอาหารสำหรับเด็กวัยนี้คือ
1) ใน 1 วัน เด็กควรได้รับอาหารหลัก 3 มื้อ โดย 1 มื้อ ประกอบด้วยข้าวกล้องหรือข้าวสวยนิ่ม ๆ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ สลับกับไข่ หรืออาหารทะเล ผักใบเขียวต่าง ๆ ผลไม้มื้อละ 1 ส่วนเช่น ส้ม มะละกอสุก กล้วยน้ำว้า
2) เด็กเล็กมักปฏิเสธการกินผัก ด้วยเหตุผลว่าผักมีรสขมหรือกลิ่นไม่ชวนกิน ดังนั้นพ่อแม่และผู้เลี้ยงดูเด็กอาจเริ่มจากเลือกผักที่ไม่มีกลิ่นฉุน เช่น ผักกาดขาว ผักบุ้ง ตำลึง ฟักทองฯลฯ เมื่อเด็กกินได้ดีจึงค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น ผักที่ใช้เตรียมอาหารเด็กควรเป็นผักสดต่าง ๆ ที่ทำได้ในท้องถิ่น และล้างผักให้สะอาดก่อนนำไปประกอบอาหาร
3) ปรุงอาหารที่รสชาติไม่จัดจ้านและปรุงอาหารด้วยวิธีการต้ม นึ่ง อบ แทนการทอด ช่วยให้เด็กได้รับไขมันไม่มากเกินไป อาหารที่ปรุง โดยการต้มควรให้นุ่มและตัดอาหารเป็นชิ้นเล็ก ๆ พอเหมาะกับปากเด็ก
4) ให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่ออาหาร ว่าอาหารมีประโยชน์ต่อร่างกายของตนเอง โดยจัดกิจกรรมผ่านการเล่านิทาน เพลง คำคล้องจอง หรือให้เด็กมีส่วนช่วยประกอบอาหารร่วมกันเช่นการล้างผัก การเด็ดผัก เป็นต้น
5) ไม่ให้ขนมกรุบกรอบ ขนมหวาน และน้ำหวานทุกชนิด แก่เด็กก่อนมื้ออาหารหลักเพราะทำให้เด็กไม่อยากอาหารมื้อหลัก ขนมหวานและอาหารแป้งที่มีความเหนียวนุ่มติดฟันมักก่อให้เกิดฟันผุได้ง่าย
6) อาหารว่างระหว่างมื้ออาหาร เน้นว่าควรให้เป็นผลไม้แทนขนมกรุบกรอบและขนมทอดต่าง ๆ โดยทั่วไปสามารถจัดอาหาหรว่างให้ได้ 2 มื้อ ซึ่งรวมแล้วให้พลังงานไม่เกินร้อยละ 20ของพลังงานจากอาหารทั้งหมดหรือ 200-250 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
7) การที่เด็กได้วิ่งเล่นหรือมีกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้เด็กอยากอาหารเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน เด็กวัยนี้จะเรียนรู้สีต่าง ๆ จึงมักนำเรื่องสีมาสัมพันธ์กับเรื่องอาหาร ดังนั้นเด็กจึงชอบอาหาร
ที่มีสีสดใส เช่น แตงโม แครอท ส้ม ไข่ มากกว่าอาหารที่ไม่มีสีสัน ดังนั้นผู้ดูแลเด็กจึงควรจัดอาหารให้หลากหลาย โดยเฉพาะผักผลไม้เพื่อให้เด็กได้คุ้นเคยและบริโภคได้ดี
8) บางครั้งอาจพบเด็กอายุ 3-6 ปี สนใจการเล่นมากกว่าการกินและกินอาหารไม่เป็นเวลา จึงเป็นอุปสรรคต่อการดูแลของพี่เลี้ยงหรือผู้ปกครอง ซึ่งมักใช้วิธีบังคับให้เด็กกินอาหารหรือมีข้อต่อรอง โดยให้ขนมหวานหรือลูกกวาดเป็นรางวัล แลกเปลี่ยนกับการกินอาหารของเด็ก วิธีแก้ไข คือ งดให้ขนมหรือเครื่องดื่มหวาน ๆ ก่อนมื้ออาหารหลัก และเมื่อถึงเวลาอาหารมื้อหลัก ควรให้เด็กได้นั่งร่วมกับเด็กอื่น หรือผู้ใหญ่เพื่อกินอาหารพร้อม ๆ กัน ทั้งนี้ยังเป็นการาฝึกวินัยในการกินอาหารด้วย
9) สอนให้เด็กกินอาหารพอประมาณการตักข้าวและกับข้าว ควรตักพอกินและกินให้หมดจาน ถ้าไม่อิ่มจึงค่อยตักเพิ่ม และเมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว สอนให้เด็กนำภาชนะไปเก็บ หรือล้างให้สะอาด และแปรงฟัน
2. การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย ได้แก่ การดูแลเด็กให้มีสุขภาพดีเป็นไปตาม เกณฑ์และปลอดภัย โดยมีแนวทางในการดูแลสุขภาพและความปลอดภัยเด็ก ดังนี้
1) ครูและผู้ดูแลเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดเด็ก ต้องมีสุขภาพสมบูรณ์ และระมัดระวังการแพร่เชื้อที่อาจเกิดกับตนเองไปยังเด็ก ต้องล้างมือให้สะอาด ทั้งก่อนและหลังการเตรียม อาหารให้เด็ก
2) ดูแลสุขภาพแวดล้อมให้ปลอดภัยไม่มีสารอันตรายกับเด็กเช่น ปลั๊กไฟต้องปิดให้มิดชิดเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเอามือไปแหย่เล่น เป็นต้น และสิ่งที่สำคัญ คือ เด็กต้องอยู่ ในความดูแลของผู้ใหญ่ตลอดเวลา รวมทั้งเด็กต้องแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ และกิจกรรมการเล่นสำหรับของเล่นที่เข้าปากเด็กต้องนำมาเปลี่ยนหรือทำความสะอาดเมื่อเด็กเล่นเสร็จ
3) เวลารับประทานอาหาร ถือเป็นเวลาที่มีความสุข ควรให้เด็กนั่งในกลุ่มเด็ก2-3 คน พร้อมครูหรือผู้ดูแลเด็กที่คอยช่วยเหลือ ถ้าจำเป็นอาหารที่ทำให้เด็กรับประทาน ควรเป็นอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ
4) ครูและผู้ดูแลเด็ก ต้องบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และการสร้างภูมิคุ้มกันของเด็กแต่ละคนให้เป็นปัจจุบัน
5) หากเด็กมีอาการเป็นไข้ ไม่สบาย หรือมีน้ำมูก ควรป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อด้วยการใช้ผ้าคาดปาก ใช้น้ำยาล้างมือฆ่าเชื้อโรค หรือไม่ไปในที่สาธารณะ
3. การจัดสภาพแวดล้อม ในโรงเรียนอนุบาลนั้นมีจำนวนเด็กในชั้นเรียนจำนวนมากกว่าในครอบครัว การจัดสภาพแวดล้อมในโรงเรียนให้ปลอดภัย ก็มีความสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เด็กได้ทำกิจกรรมและเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทั้งนี้ครู หรือผู้ดูแล ควรคำนึงถึงการส่งเสริมด้านการจัดสภาพแวดล้อม ดังนี้
1) จัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศให้มีความอบอุ่นคล้ายเหมือนบ้าน มีพื้นที่ได้เล่น และทำกิจกรรมอย่างปลอดภัย จัดเฟอร์นิเจอร์ที่เหมาะกับขนาดของเด็ก และติดภาพให้อยู่ในระดับสายตาเด็ก
2) จัดแยกพื้นที่สำหรับนอนพักผ่อนและรับประทานอาหารออกจากกัน เพื่อสุข อนามัยและความสะอาด
3) จัดของเล่นที่เหมาะสมกับวัยพัฒนาการ ของเล่นมีความปลอดภัย ไม่มี อันตรายกับเด็กสามารถล้างทำความสะอาดได้
4) จัดของเล่นให้เล่นอยู่ในชั้นหรือที่ที่เด็กสามารถเลือกหยิบมาเล่นได้ด้วยตนเอง
5) จัดมุมหนังสือที่มีหนังสือสับเปลี่ยนอย่างน้อย เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน และเลือกอ่านหนังสือที่ตนสนใจ
6) จัดให้เด็กแต่ละคนมีเครื่องนอน หรือเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนเป็นของตน โดยเฉพาะ
7) วางแผนจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ภายในห้องเรียน ให้มีพื้นที่สำหรับ ทำงานร่วมกันเพื่อให้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน เช่น มีโต๊ะเป็นกลุ่มสำหรับทำกิจกรรม มีพื้นที่ เช่น เสื่อ สำหรับเล่นบล็อกร่วมกัน
ภาพที่ 1 การจัดบรรยากาศภายในห้องเรียน
ภาพที่ 2 การจัดพื้นที่ในการเก็บของใช้ส่วนตัวของเด็ก
ภาพที่ 3 การจัดมุมประสบการณ์ในห้องเรียนปฐมวัย
`
2.4 การจัดกิจกรรมและประสบการณ์ หมายถึง การจัดกิจวัตรประจำวัน หรือการจัดประสบการณ์ที่จัดเตรียมขึ้น เพื่อส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก ดังนี้
1) วางแผนจัดเตรียมให้เด็กปฏิบัติกิจวัตรประจำวันด้วยตนเอง โดยส่งเสริมให้เด็กได้มีประสบการณ์ในการทำกิจวัตรต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น การรับประทานอาหาร การแต่งตัวการใส่รองเท้า เป็นต้น
2) สนับสนุนให้เด็กได้เล่น และเป็นแบบอย่างในการเล่นจินตนาการกับของเล่นต่าง ๆ นอกจากนี้ควรจัดของเล่นที่เด็กๆชอบให้เด็กมีโอกาสทั้งเล่นคนเดียวและเล่นเป็นกลุ่ม
3) อ่านหนังสือนิทานให้เด็กฟังบ่อย ๆ อาจเป็นเด็กนั่งตัก หรืออ่านให้ฟังในกลุ่มย่อย 2-3 คนนอกจากนี้ ควรร้องเพลงเล่นกับนิ้วมือแสดงบทบาทสมมติตามเนื้อเรื่องในนิทานกับเด็ก
4) จัดกิจวัตรประจำวัน ให้มีทั้งช่วงเวลาเด็กได้เรียนรู้ลงมือทำอย่างกระตือรือร้นและช่วงเวลาสงบ รวมทั้งได้นอนพักผ่อนสำหรับเด็กที่อยู่สถานศึกษา หรือสถานพัฒนาเด็กตลอดวันและให้เวลาเด็กอย่างเพียงพออย่างน้อย 60 นาที สำหรับทำกิจกรรมในศูนย์การเรียนเล่นใน มุมเล่นต่าง ๆ เล่นสร้างสรรค์และสืบค้นในเรื่องที่สนใจอยากรู้
5) ให้เด็กได้เล่นกับวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับศิลปะ เช่น สีเทียน สีน้ำ แป้งโด การประดิษฐ์ หรือทดลองเล่นกับสีง่าย ๆ เช่น พิมพ์ภาพ เป็นต้น
ภาพที่ 4 การทำกิจกรรมศิลปะเป็นรายบุคคล (ซ้าย) และเป็นกลุ่มย่อย (ขวา)
6) ให้โอกาสเด็กเล่นกลางแจ้งเล่นน้ำเล่นทรายเป็นประจำทุกวัน
ภาพที่ 5 การเล่นเครื่องเล่นสนามเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดใหญ่
ภาพที่ 6 กิจกรรมการเล่นทรายของเด็ก
7) ให้โอกาสเด็กทำกิจกรรมที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า และการเคลื่อนไหว
ภาพที่ 7 การจัดกิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่และการทรงตัว
8) การส่งเสริมการอ่าน การอ่านนิทานให้ลูกฟังตั้งแต่ในครรภ์เป็นการกระตุ้นพัฒนาการให้ลูกได้ตั้งแต่ในครรภ์ และเมื่อเด็กคลอดออกมากิจกรรมการอ่านยังคงต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พ่อแม่และครูควรอ่านนิทานให้เด็กฟังทุกวัน ทั้งนี้การอ่านหนังสือให้ลูกฟังตั้งแต่ 6 เดือนทุกวัน อย่างน้อยวันละ 5-15 นาที เป็นการเสริมสร้างเซลล์สมอง ทำให้เกิดเส้นใยประสาทที่เชื่อม ต่อกัน การเชื่อมโยงของใยประสาทส่งผลต่อความฉลาดและสติปัญญาในระยะต่อมา
2.5 การวัดและประเมินผลพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการ หมายถึง กระบวนการ สังเกพฤติกรรมของเด็กในขณะทำกิจกรรมแล้วจดบันทึกลงในเครื่องมือที่สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกในแต่ละครั้ง เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการพัฒนากิจกรรมให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ ในการประเมินพัฒนาการ และการเรียนรู้ของเด็กต้องประเมินครบทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์และจิตใจ สังคม และสติปัญญา รวมทั้งสุขอนามัยและพลศึกษาภาษา และการรู้หนังสือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษาและศิลปะสร้างสรรค์ โดยอาศัยการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และเลือกใช้เครื่องมือในการวัด และประเมินผลเด็กอย่างเหมาะสม เช่นแบบสังเกต การสัมภาษณ์ เป็นต้น โดยมีหลักการประเมินพัฒนาการ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, น.43)
1) ระเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้านและนำผลมาพัฒนาเด็ก
2) ประเมินพัฒนาการเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอตลอดปี
3) สภาพการประเมินควรมีลักษณะเช่นเดียวกับการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน
4) ประเมินอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนเลือกใช้เครื่องมือ และจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
5) ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการที่หลากหลายเหมาะกับเด็ก รวมทั้งใช้แหล่งข้อมูลหลาย ๆ ด้าน ไม่ควรใช้การทดสอบ
พัฒนาการเด็กเป็นเรื่องสำคัญที่พ่อแม่ ครู และผู้ที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเข้าใจและมีการเฝ้าระวัง คัดกรอง และส่งเสริมพัฒนาการอยู่เสมอ ซึ่งการส่งเสริมสุขภาพและพัฒนาการ จำเป็นต้องตระหนักตั้งแต่อยู่ในครรภ์ โดยแม่ที่ตั้งครรภ์ควรฝากครรภ์กับแพทย์เพื่อให้ลูกในครรภ์มีพัฒนาการที่ดีเช่น การได้รับอาหารที่เหมาะสม การได้รับยาบำรุงสมองทารกในครรภ์ เช่น โฟลิก เป็นต้น นอกจากนี้กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดทำสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็กให้กับแม่ที่ตั้งครรภ์ ที่มาฝากครรภ์ เพื่อเป็นสื่อความรู้เฝ้าระวังและดูแลสุขภาพของตนเองและลูกจนอายุ 5 ปี และเนื้อหาของสมุดบันทึกสุขภาพจะให้ความรู้คำแนะนำพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูเด็กรู้พัฒนาการของเด็กปฐมวัย และเป็นแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการเด็กให้สอดคล้องกับพัฒนาการแต่ละช่วงอายุ ดังนี้ (สุขจริง ว่องเดชากุล, 2558, น. 2-37 ถึง 2-43)
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้จัดเสนอแนวทางในการส่งเสริมพัฒนาการตามวัยของเด็ก 3- 6 ปี ดังตาราง ต่อไปนี้ (กรมอนามัย , 2556 , น.93-95)
ตารางที่ 2 พัฒนาการเด็กปฐมวัยและการส่งเสริมพัฒนาการเด็กวัย 3-6 ปี สำหรับพ่อแม่
อายุ
พัฒนาการตามวัย
วิธีการส่งเสริมให้ลูกทำได้
3-4 ปี
– แสดงความเป็นอิสระอยาก
ลองทำด้วยตนเอง เล่นรวม
กลุ่มอย่างมีกติกาง่าย ๆ
– บอกได้เมื่อจะปัสสาวะและไป
ห้องส้วมได้เอง
– บอกได้อย่างน้อย 1 สี และพูด
เล่าเรื่องให้คนอื่น เข้าใจเกือบ
ทั้งหมด
– เขียนรูปวงกลมตามแบบได้
รู้จักจำนวน 1-3 ชิ้น
– เดินลงบันไดสลับเท้าและ
ยืนขาเดียวได้ชั่วครู่
– เปิดโอกาสให้ลูกลองทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
โดยพ่อแม่ดูแลความปลอดภัยและเหมาะสม
ให้ลูกเล่นกับเด็กอื่น โดยมีกติกาง่าย ๆ ฝึกให้รู้จัก
รอคอยและช่วยเหลือผู้อื่น
– ฝึกลูกให้ไปห้องน้ำห้องส้วมเอง ทำความสะอาด
ร่างกาย และให้ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหาร และ
หลังเข้าห้องส้วม
– พูดคุยถามตอบ สนับสนุนให้ลุกสังเกตสิ่งรอบตัว
และเล่าเรื่องตามที่พบเห็น
– ฝึกให้จับดินสอขีดเขียน ให้ลูกวาดวงกลมและสิ่ง
ต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว ชมเชยเมื่อลูกทำได้ สอนให้รู้จัก
จำนวน 1-3
– ให้ลูกฝึกลงบันไดเองและพ่อแม่ดูแลให้ปลอดภัย
4-5 ปี
– รู้จักไหว้ ทำความเคารพ
ขอบคุณ และขอโทษ เล่น
สมมติโดยใช้จินตนาการ
– แต่งตัว ติดกระดุมเอง
– เข้าใจและอธิบายเหตุผล
ง่าย ๆ ชอบถามคำถาม
– นับและรู้จักจำนวน 1-5
บอกสี
– ฝึกมารยาทสังคมให้ลูก ให้ลูกเล่นกับเพื่อน ๆ
– ให้ลูกมีโอกาสเลือกเสื้อผ้าแต่งตัวและติดกระดุม
เองทุกครั้ง
– พ่อแม่ควรให้เหตุผลกับลูก เช่นอธิบายเหตุผลว่า
ทำไมจึงไม่ให้เล่นและสอนว่าควรแก้ปัญหาอย่างไร
– ฝึกหัดนับสิ่งของ หยิบของตามจำนวน ชี้ชวนให้
ลูกดูสิ่งของต่าง ๆ รอบตัว พร้อมกับบอกชื่อสี และ
สนับสนุนให้ลุกแสดงความรู้สึกนึกคิดพร้อมกับ
อ่านหนังสือให้ฟัง
– สังเกตการณ์จับดินสอของลูก และจับแบบถูกต้อง
ให้ดูเป็นตัวอย่าง วาดรูปสี่เหลี่ยมให้ลูกดู
และวาดตาม
– เล่นเกมส์เขย่งขาเดียว โดยให้ลูกกระโดดขาเดียว
ไล่จับผู้อื่น เล่นตั้งเต
5-6 ปี
– ทำงานบ้านง่าย ๆ ปฏิบัติตาม
เกณฑ์และข้อตกลง
– ช่วยจัดโต๊ะอาหารโดยตักข้าว
รินน้ำเอง
– รู้ซ้าย-ขวา-บน-ใต้-หน้า-หลัง
รู้จำนวน 1-10 ชิ้น
– อ่านตัวอักษรและสะกด
– วาดสามเหลี่ยมและเขียนตัว
อักษรง่าย ๆ
– ใช้สองมือรับลูกบอล
– ฝึกให้ลูกช่วยทำงานบ้านตามกำลังใจ ให้ช่วยเหลือ
ตนเอง ในกิจวัตรประจำวัน ชมเชยเมื่อลูกให้
ความร่วมมือและมีน้ำใจ และหัดสังเกตความ
รู้สึกและความต้องการของผู้อื่น
– ฝึกให้ลูกช่วยจัดโต๊ะอาหารขณะจะกินอาหาร
– ฝึกหัดนับสิ่งของและหยิบของตามจำนวนสอน
ให้รู้จักตำแหน่งต่าง ๆ เช่นซ้าย-ขวา หน้า-หลังฯลฯ
– ร้องเพลงกับลูก เล่านิทานและอ่านหนังสือกับลูก
– ฝึกให้ลูกวาดรูปทรงต่าง ๆ หัดเขียนตัวอักษร
วาดรูปตามจินตนาการและระบายสี
– เล่นรับ-ส่งลูกบอล และเล่นเดินเป็นเส้นตร
สรุปว่าเด็กวัย 3-6 ปี เป็นวัยที่เริ่มเข้าเรียน และต้องการการเรียนรู้ที่กว้างขึ้นในสังคมพ่อแม่และครูต้องปลูกฝังและส่งเสริมเด็ก ให้มีพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ดี เหมาะกับวัยอย่างเป็นองค์รวมทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์-จิตใจ ด้านสังคม และด้านสติปัญญา โดยการดูแลทั้งในด้านโภชนาการ การจัดสภาพแวดล้อม การดูแลสุขภาพและความปลอดภัย การจัดกิจกรรมและประสบการณ์ การประเมินพัฒนาการเพื่อให้เด็กได้เติบโตสมวัยและพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ
เอกสารอ้างอิง
กรมสุขภาพจิต (ม.ป.ป). คู่มือส่งเสริมพัฒนาการเด็กแรกเกิด-5 ปีสำหรับผู้ปกครอง. กรุงเทพฯ : กรม.
กรมอนามัย. (2556). สมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : กรม.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2546ก). หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546. กรุงเทพ: กระทรวง.
กุลกัญญา โชคไพบูลย์กิจ และอังกูร เกิดพาณิช. (2545). คู่มือการใช้วัคซีนสำหรับเด็กไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : ชมรมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย. เนติกุลการพิมพ์จำกัด.
ชนิกา ตู้จินดา. (2552). คู่มือเลี้ยงลูก. (พิมพ์ครั้งที่ 25). กรุงเทพฯ: รักลูกกรุ๊ป.
พัชรี ผลโยธิน และอรณี หรดาล. (2558). หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับพัฒนาการและ
การเรียนรู้ ของเด็กปฐมวัยในเอกสารการสอนชุดวิชาพัฒนาการและการเรียนรู้ของ
เด็กปฐมวัย. (พิมพ์ครั้งที่ 3). นนทบุรี : สาขาวิชาศึกษาศาสตร์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย
สุโขทัยธรรมาธิราช.
วันทนีย์ เกรียงสินยศ, กิตติพร พันธุ์วิจิตรศิริ, อุรุวรรณ แย้มบริสุทธิ์, ณัฐวรรณ เชาวน์ลิลิตกุล,
กุลพร สุขุมาลตระกูล, ชนิพรรณ บุตรยี่,…. วรรณี นิธิยานันท์. (2559). องค์ความรู้ด้าน
อาหารและโภชนาการสำหรับทุกช่วงวัย. กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา.
ณัฐภร อินทุยศ. (2556). จิตวิทยาทั่วไป. (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์. (2543). สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร (ฉบับพ่อแม่). (พิมพ์ครั้งที่ 1). กรุงเทพฯ : สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. (2547). คู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 (สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี). กรุงเทพฯ: กระทรวง.
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (2556). บทบาทของพ่อแม่ครูพี่เลี้ยงและผู้ดูแลเด็กในการเลี้ยงดู
และพัฒนาเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : สักนักงาน.
สุขจริง ว่องเดชากุล. (2558). หน่วยที่ 2 การเจริญเติบโตพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ในเอกสาร
การสอนชุดวิชาสุขภาวะเด็กปฐมวัย. (พิมพ์ครั้งที่ 1). นนทบุรี : สาขาวิชาศึกษาศาสตร์
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.