การยศาสตร์
ผศ.ดร.กฤดิธฤต ทองสิน
คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม
มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
จากสถิติการประสบอันตรายของพนักงานในสถานประกอบการแต่ละปี มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถานประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลางที่มีพนักงานไม่กี่ร้อยคนซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้เขียนต้องการลดจำนวนผู้ประสบอันตรายให้น้อยลง หรือไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเลยและสิ่งหนึ่งที่จะป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหรือเกิดอันตรายในขณะทำงานได้ คือ การจัดสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี และถูกต้องในการทำงานออกแบบระบบงานตามหลักวิชาการ กล่าวคือเมื่อมีการออกแบบเครื่องมือ เครื่องจักร การติดตั้ง การวางผังโรงงาน ต้องคำนึงถึงหลักการของการยศาสตร์หรือความสัมพันธ์ระหว่างคนกับงาน มีการจัดสภาพแวดล้อมขั้นพื้นฐาน เช่น เสียง แสงสว่าง ความร้อน โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องมือเครื่องจักร และสภาพการทำงานอื่นๆ อย่างเหมาะสม ปัจจัยดังกล่าวมานี้ เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานทางวิศวกรรม เมื่อนำมาปฏิบัติจะช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุในขณะทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้จะต้องใช้มาตรการอื่นๆในการจัดการร่วมด้วย จึงจะได้ผลสมบูรณ์มากขึ้นและหัวข้อต่างๆ ดังกล่าวซึ่งเป็นปัจจัยขั้น พื้นฐานในการจัดสภาพแวดล้อมการทำงาน ที่ต้องนำมาใช้ในการลดอุบัติเหตุในขณะทำงานและช่วยให้เกิดการเพิ่มผลผลิต สามารถอธิบายรายละเอียดที่เกี่ยวข้องได้ดังหัวข้อต่อไปนี้
การยศาสตร์ในงานความปลอดภัย
ปัจจุบันการออกแบบเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องใช้หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้คำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้งาน หรือไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อ การใช้งาน เช่น การออกแบบรถยนต์ ที่ผู้ผลิตจะต้องมีการออกแบบให้สวยงามแข็งแรงและปลอดภัยแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสิ่งอื่นๆ อีก เช่น เบาะที่นั่งต้องนุ่มนั่งสบายสามารถรองรับสรีระของผู้ขับขี่ได้อย่างพอเหมาะ ทำให้ไม่เกิดความเมื่อยล้าขณะขับรถ สามารถปรับที่นั่งให้เอนเลื่อนขึ้นลงหรือขยับไปข้างหน้า ข้างหลังได้ เพื่อให้มองเห็นทัศนวิสัยภายนอกได้ชัดเจน ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกภายในรถยนต์ เช่น ปุ่มปรับ ปุ่มหมุน มาตรวัด การปิดเปิดกระจก การปรับกระจกมองข้างกระทำได้ง่ายอยู่ใกล้ผู้ขับขี่ หรือแม้กระทั่งการเปิดฝาครอบถังน้ำมัน ฝากระโปรงท้ายสามารถเปิดได้จากภายในรถ การเปิดเบาะด้านหลังเพื่อหยิบสัมภาระท้ายรถทำได้ง่ายและสะดวก อีกตัวอย่างของการออกแบบเพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการทำงานและความปลอดภัย เช่น การออกแบบโรงงานอุตสาหกรรม ควรออกแบบโรงงานให้ถูกสุขลักษณะ จัดระบบระบายอากาศที่ดี มีแสงสว่างเพียงพอมีการจัดวางเครื่องมือเครื่องจักรอย่างถูกต้องเหมาะสมกับกระบวนการผลิต มีการออกแบบเครื่องจักรหรือระบบสายพานที่ปลอดภัย มีเครื่องป้องกันอันตราย ปุ่มกด สวิตช์ปิดเปิดอยู่ใกล้ผู้ใช้งาน ตลอดจนการใช้งานแล้วไม่เมื่อยล้าสามารถยืนหรือนั่งทำงานได้เป็นเวลานานๆ ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ได้กล่าวมานี้รวมเรียกว่า การยศาสตร์(ergonomics) บางครั้งอาจรู้จักในชื่อของ วิทยาการจัดสภาพงาน ซึ่งคำว่า ergonomics มาจากคำในภาษากรีก 2 คำ คือ ergon แปลว่างาน และ nomos แปลว่า กฎหรือระเบียบในที่นี้ ผู้เขียนจะขอใช้คำว่า การยศาสตร์ ในการสื่อความหมายแทนคำอื่นๆ
การยศาสตร์ หมายถึง การเน้นความสำคัญของมนุษย์เป็นหลักหรือยึดธรรมชาติของมนุษย์เป็นเกณฑ์ สำหรับการออกแบบสร้างเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์และวิธีการทำงานภายใต้สภาวะแวดล้อมต่างๆ อย่างมีเป้าหมาย
นอกจากนี้ สสิธร เทพตระการพร (2553, 27) จากกองอาชีวอนามัย ได้กล่าวถึง การยศาตร์ ดังนี้
การยศาสตร์ หมายถึง ศาสตร์ในการจัดสภาพงานหรือการทำงานให้เหมาะกับคนที่ทำงาน ตลอดจนการศึกษาคนในสิ่งแวดล้อมการทำงาน
การยศาสตร์ หมายถึง การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาประยุกต์ใช้ ในการออกแบบสภาพการทำงาน เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์เครื่องใช้ วิธีการทำงาน ท่าทางการทำงานที่เหมาะสม ตลอดจนสภาพแวดล้อมต่างๆ ในขณะทำงาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงาน ลดความเมื่อยล้า ลดการใช้พลังงาน ทำงานได้สะดวกสบาย อีกทั้งเป็น การเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตได้อีกด้วย
จากที่ได้กล่าวมาแล้วพบว่าประเทศไทยใช้ทั้งคำว่า การยศาสตร์และวิทยาการ จัดสภาพงาน ที่แปลมาจากภาษาอังกฤษคำเดียวกัน แต่ในต่างประเทศใช้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องและมีความหมายใกล้เคียงกับการยศาสตร์ได้หลายคำแตกต่างกันออกไป
ความสำคัญของการยศาสตร์
ในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมมีความจำเป็นต้องใช้เครื่องมือ เครื่องจักร ระบบการผลิต วิธีการผลิต ที่สัมพันธ์และสอดคล้องกับการทำงานของพนักงาน ถ้าสถานประกอบการมีการจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานได้เหมาะสมกับพนักงาน ย่อมทำให้เกิดผลดีต่อผลผลิตและพนักงาน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการปรับสภาพแวดล้อม และองค์ประกอบต่างๆ ซึ่ง ได้แก่ เครื่องมือ เครื่องจักร วัสดุ ระยะเวลาการทำงานของพนักงาน เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของงานวิธีการทำงานและกระบวนการผลิตแบบต่างๆ
โดยปกติคนเราทุกคนมีความแตกต่างกันทั้งด้านสรีระและจิตใจ เช่น สูง ต่ำ อ้วน ผอม แข็งแรง อ่อนแอ เข้มแข็ง หรือมีความอดทนไม่เท่ากัน สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงตามธรรมชาติที่บางครั้งไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ ดังนั้นในการออกแบบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการใช้งานของพนักงาน การออกแบบที่ไม่เหมาะสมจะมีผลทำให้เกิดปัญหาทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ กระบวนการทำงานช้าลง เกิดความเมื่อยล้า และอาจทำให้ประสบอันตรายจากการทำงานได้ ส่งผลกระทบให้ผลผลิตลดลงและ ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานของงาน
ด้วยเหตุนี้การยศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ในการปรับสภาพงานให้เหมาะสมกับคน เช่น การออกแบบระบบงาน สถานที่ทำงาน เครื่องจักรกล เครื่องมืออุปกรณ์ ตลอดจนกระบวนการผลิต ให้สัมพันธ์กับรูปร่าง ลักษณะ ความสามารถ ความต้องการของบุคคลหรือของพนักงานในด้านต่างๆ โดยนำเอาข้อจำกัดของบุคคลมาเป็นองค์ประกอบ ในการออกแบบ เช่น สูง ต่ำ อ้วน ผอม เพศชาย เพศหญิง เป็นต้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนนั้นเป็นความพยายามที่ยุ่งยากมาก ถ้าปรับเปลี่ยนได้จะอยู่ในสภาพจำยอมต้องคล้อยตามระบบที่ได้ถูกกำหนดขึ้นมา กล่าวคือ ระบบการทำงานหรือเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ต่างๆ ถูกออกแบบและสร้างมาเพื่อใช้งานด้านอุตสาหกรรม ส่วนมากไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ เช่น ความสูงของเครื่องจักร ตำแหน่งของสวิตช์ปิดเปิด การจัดที่นั่งขณะทำงาน ตำแหน่งของจุดบังคับด้วยเท้า ความสูงของชั้นวางของที่ใช้เป็นประจำ ตำแหน่งของมาตรวัดต่างๆ ซึ่งสิ่งที่ได้กล่าวมานี้บางครั้งผลิตมาจากประเทศแถบยุโรปและอเมริกา ในการผลิตเครื่องมือเครื่องจักรผู้ผลิตคำนึงถึงสรีระของผู้ใช้งานที่รูปร่างสูงใหญ่กว่าคนไทย ถ้านำเครื่องมือเครื่องจักร ดังกล่าวมาใช้ในประเทศไทยมักจะเกิดปัญหาขึ้นเนื่องจากสรีระของคนไทยมีขนาดเล็กกว่าคนแถบยุโรปและอเมริกา ทำให้ทำงานไม่สะดวก เกิดความผิดพลาดในขณะทำงาน และส่งผลให้เกิดการประสบอุบัติเหตุตลอดจนความล่าช้าในการทำงาน ดังนั้นมาตรฐานของการออกแบบเครื่องมือ เครื่องจักร จึงควรคำนึงถึงสภาพการใช้งานของคนประเทศนั้นๆ เป็นหลัก
กล่าวโดยสรุปได้ว่า การปรับสภาพงานให้เหมาะสมกับคน (fit the job to the man) ถือได้ว่าเป็นความปรารถนาสูงสุดของพนักงาน ซึ่งในการดำเนินการเพื่อให้ได้ตาม วัตถุประสงค์นั้นจะต้องคำนึงถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพื่อจะได้ออกแบบระบบการทำงาน เครื่องมือ เครื่องจักร ให้สอดคล้องกับความต้องการของคนงาน
การนำการยศาสตร์มาใช้ในสถานประกอบการเป็นสิ่งสำคัญมาก แต่เจ้าของสถานประกอบการบางแห่งไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร ดังนั้นเพื่อเป็นสิ่งชี้วัดว่าท่านควรจะนำ การยศาสตร์ซึ่งมีความสำคัญ เพราะเป็นหลักการขั้นพื้นฐานด้านความปลอดภัยเข้ามาใช้ ในสถานประกอบการหรือไม่ให้สังเกตจากเหตุการณ์ ดังต่อไปนี้
พนักงานเกิดอุบัติเหตุเพิ่มขึ้น
1. พนักงานเจ็บป่วยมากขึ้น
2. พนักงานเข้าออกงานมากขึ้น
3. พนักงานมีการร้องทุกข์มากขึ้น
5. ผลผลิตของโรงงานลดลง
6. ผลผลิตมีคุณภาพลดลง
7. พนักงานมีความเบื่อหน่ายเกิดความเมื่อยล้า
8. พนักงานทำงานผิดพลาดมากขึ้น
ภาพที่ 1 แสดงผลที่เกิดจากการไม่นำการยศาสตร์มาใช้
องค์ประกอบของการยศาสตร์
สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการยศาสตร์นั้นมีหลายสาขา และพัฒนาแนวคิดมาจากวิทยาการหลายด้าน ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวาง เช่น สรีรวิทยา กายวิภาคศาสตร์ จิตวิทยา เป็นต้น จะเห็นได้ว่าการนำเอาวิชาการหลายสาขามาประยุกต์เข้าด้วยกัน ได้แก่ ความรู้จากการศึกษาวิชาสรีรวิทยาและกายวิภาคศาสตร์ ทำให้เข้าใจถึงการทำงานของอวัยวะส่วนต่างๆ โครงสร้างและสัดส่วนของร่างกายได้เป็นอย่างดี ความรู้ในสาขาวิชาจิตวิทยาและ สรีรวิยารวมกัน ทำให้มีความรู้เกี่ยวกับการทำงานของระบบประสาทและการทำงานของสมอง เป็นต้น
ชัยยุทธ ชวลิตนิธิกุล (2544, 240) ได้กล่าวถึง องค์ประกอบหลักของ การยศาสตร์ ซึ่งเป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานที่จะต้องนำมาเป็นข้อกำหนดในการออกแบบเครื่องมือ เครื่องจักร สภาพการทำงานต่างๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานขั้นต้นนั้น ควรจะต้องมีองค์ประกอบมาจากสาขาวิชาต่างๆ ดังนี้
1. กลุ่มกายวิภาคศาสตร์ (anatomy) ประกอบด้วยสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานที่จะต้องให้ความสำคัญ ได้แก่
1.1 ขนาดของมนุษย์ โดยจะพิจารณาและให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกิดจากขนาด รูปร่าง ท่าทาง หรืออิริยาบถขณะทำงานของคนเป็นหลัก
1.2 ชีวกลศาสตร์ จะมุ่งเน้นปัญหาที่เกิดขึ้นจากการออกแบบหรือใช้แรงในขณะทำงานของคน
2. กลุ่มสรีรวิทยา (physiology) แบ่งออกเป็น
2.1 สรีรวิทยาการทำงาน โดยมุ่งเน้นถึงการใช้พลังงานในขณะทำงาน เช่น ถ้าหากงานนั้นเป็นงานหนัก คนงานจะต้องใช้พลังงานมากตามไปด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและสุขภาพของพนักงาน เป็นต้น
2.2 สรีรวิทยาสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งศึกษาถึงผลกระทบต่อสุขภาพที่เกิดจากการทำงานเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ความร้อน แสงสว่าง เสียง เป็นต้น
3. กลุ่มจิตวิทยา (psychology) แบ่งเป็นการศึกษาวิชาในสาขาต่างๆ ดังนี้
3.1 ความชำนาญ ได้แก่ ความเข้าใจในลักษณะงานของบุคคล ทำให้ทราบว่าตนเองควรทำงานอะไร ทำอย่างไร ตลอดจนการตัดสินใจในขณะทำงานนั้นๆ เนื่องจาก อาจเป็นผลทำให้เกิดการทำงานผิดพลาดและเกิดอุบัติเหตุได้
3.2 จิตวิทยาการทำงาน ซึ่งจะต้องคำนึงถึงปัญหาด้านจิตวิทยาสังคม ของบุคคลที่เกิดจากการทำงานหรือเกี่ยวเนื่องจากการทำงาน เช่น สภาวะด้านเวลาและสภาวะทางสังคมของบุคคลตลอดจนการให้การฝึกอบรม และการศึกษาถึงข้อแตกต่างระหว่างบุคคล
ปัจจัยที่ต้องนำมาแก้ปัญหาด้านการยศาสตร์
เนื่องจากการยศาสตร์เป็นการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและยึดคนเป็นหลัก ดังนั้น จึงเป็นการสะดวกที่จะจำแนกลักษณะของปัญหา โดยพิจารณาสภาวะกลไกการทำงานและสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับคนเป็นเกณฑ์ การจำแนกลักษณะของปัญหาที่ชัดเจนจะช่วยในการวางแผนเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจัยที่ต้องนำมาแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับการยศาสตร์ สามารถแบ่งเป็นลักษณะได้ดังนี้
1. ความแตกต่างของสัดส่วนรูปร่างของคน (physical size) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการวัดขนาดรูปร่างและสัดส่วนต่างๆ ของมนุษย์ชนชาติต่างๆ ชี้ให้เห็นว่าการที่คนเรามีรูปร่างและสัดส่วนของอวัยวะภายนอกในท่าทางต่างๆ ที่แตกต่างกันนั้น ส่งผลให้เกิดปัญหาความไม่สมดุลกับสถานที่ปฏิบัติงาน ไม่มีส่วนประกอบของสถานที่ปฏิบัติงานแห่งใดที่จะเหมาะสมในลักษณะที่ดีที่สุดกับพนักงานทุกคนได้ ทั้งนี้เนื่องจากความสูงของร่างกาย ความยาวของแขนขาในลักษณะท่าทางการทำงานต่างๆ หรือระดับสายตาในการมองเห็น สิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างกัน
2. ระดับความทนทานและความอดทนของร่างกายที่มีต่องาน (endurance) ความเค้นจากงานและสิ่งแวดล้อมในการทำงาน มีผลต่อระบบหัวใจและการหมุนเวียนโลหิตของพนักงาน ซึ่งส่งผลถึงความสามารถในการตอบสนองต่องานที่ปฏิบัติ ความเค้นนี้อาจเกิดจากลักษณะงานที่หนักเกินไป หรือสภาพอากาศในสถานที่ปฏิบัติงานที่ค่อนข้างร้อนเป็นผลทำให้ร่างกายมีความต้องการปริมาณออกซิเจนเพิ่มขึ้นเพื่อเผาผลาญเพิ่มพลังงานในกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ การจัดระบบการทำงานที่ไม่เอาหลักการยศาสตร์มาใช้ เช่น ช่วงระยะเวลาทำงานที่ยาวเกินไป หรือการจัดช่วงเวลาทำงานและพักที่ไม่เหมาะสมปัจจัยนี้จะส่งผลให้เกิดปัญหาในด้านความทนทานและความอดทนของร่างกายที่มีต่อการทำงานได้ซึ่งแต่ละคนจะมีความอดทนแตกต่างกัน
3. ความแข็งแรงของร่างกายในการปฏิบัติงาน (body strength) ปัญหาเรื่องความแข็งแรงของร่างกาย พบได้เมื่อพนักงานต้องปฏิบัติงานที่ต้องใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ ซึ่งงานในลักษณะนี้อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บของอวัยวะส่วนต่างๆ โดยเฉพาะส่วนหลัง การปฏิบัติงานในลักษณะนี้ได้แก่ การยก การเคลื่อนย้ายวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ แนวความรู้ด้านชีวกลศาสตร์ (biomechanics) มีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่จะช่วยสอนให้พนักงานใช้ความแข็งแรงที่มีอยู่ได้เหมาะสม ถูกต้อง ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ
4. ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจในสัญญาณ สัญลักษณ์และสื่อต่างๆ (cognitive) พนักงานแต่ละคนมีพื้นฐาน และประสบการณ์ที่แตกต่างกันไม่มากก็น้อย ถ้าคนละเชื้อชาติ ศาสนา และมีการดำเนินชีวิตตามลักษณะประเพณีและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันแล้ว ความแตกต่างและความสามารถที่ไม่เท่ากันในการรับรู้ นึกคิดและเข้าใจในสื่อต่างๆ ที่ได้รับย่อมเกิดขึ้นได้กับสถานที่ปฏิบัติงาน ระบบการสื่อความหมาย การควบคุมเครื่องจักรกล สัญญาณต่างๆ ที่ไม่ได้คำนึงถึงหลักการยศาสตร์ และพื้นฐานของกลุ่มพนักงานอาจก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องการรับรู้และเข้าใจในสัญญาณต่างๆ ได้
ตารางที่ 1 แสดงการเปรียบเทียบการสื่อความหมายของสีระหว่างชาวจีนกับชาวอเมริกัน
จากตาราง จะเห็นว่าสีที่แสดงถึงความหมายว่าระวัง ไป หยุด นั้น ประชาชนชาวจีนมีการรับรู้ที่ไม่แน่นอนชัดเจนคือร้อยละ 44.8 44.7 และ 48.5 ต่างจากชาวอเมริกันคือร้อยละ 81.1 99.2 และ 100 สีแดงที่แสดงถึงอันตรายหรือความร้อนในความรู้สึกของชาวอเมริกันนั้น สำหรับชาวจีนส่วนใหญ่ถือเป็นสีแห่งความสุขสนุกสนานและความมั่นคง เป็นต้น
5. สิ่งแวดล้อมในการทำงาน (workplace environment) สิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในหลักเกณฑ์หรือมาตรฐานที่ตั้งไว้ เช่น ฝุ่นละออง ไอระเหยของสารเคมี รังสี ความร้อน ความเย็น ระดับความเข้มของแสงสว่าง ระดับความดังของเสียง หรือการสั่นสะเทือนจากเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆนั้น มีผลกระทบต่อผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในสถานที่นั้นๆ การจัดสภาพงานโดยคำนึงถึงภาวะต่างๆ ที่อยู่โดยรอบตัวพนักงาน มีความสำคัญต้องพิจารณาควบคู่ไปกับปัจจัยด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวพนักงานด้วยเช่นกัน
6. ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักร (man-machine interaction) การเรียนรู้ความสัมพันธ์
ในรูปของปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งกันและกันระหว่างคนซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานกับเครื่องจักรต่างๆ และการทราบถึงจุดเด่น ข้อได้เปรียบหรือแตกต่างกันระหว่างคนกับเครื่องจักรนั้น เป็นความรู้พื้นฐานสำหรับการดำเนินงานด้านการยศาสตร์
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักร หมายถึง การที่คนซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานและเครื่องจักรซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งในกระบวนการปฏิบัติงาน มีปฏิกิริยาโต้ตอบ สื่อสารซึ่งกันและกันเพื่อให้การปฏิบัติงานในขั้นตอนนั้นๆ ได้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพที่ 3 แสดงรูปแบบอย่างง่ายถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักร
จากภาพ จะเห็นว่ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับเครื่องจักรอยู่ 2 จุด ซึ่งอยู่ในลักษณะดังนี้คือ การรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากอุปกรณ์ จอแสดงผลการทำงานของระบบการผลิตกับการควบคุมสั่งการผ่านเครื่องมือและระบบควบคุม
นอกจากการเรียนรู้ถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับเครื่องจักรแล้ว นักการยศาสตร์ยังจะต้องทราบถึงจุดเด่นหรือข้อได้เปรียบที่แตกต่างกันของทั้ง 2 ด้วย ทั้งนี้ เพื่อประกอบการตัดสินใจว่างานในลักษณะใด ควรจะใช้คนหรือเครื่องจักรทำหน้าที่ควบคุมหรือปฏิบัติและจุดเด่นหรือข้อได้เปรียบสำหรับการปฏิบัติงานซึ่งดำเนินการโดยคนและเครื่องจักรมีดังต่อไปนี้
6.1 จุดเด่นหรือข้อได้เปรียบของคนในการปฏิบัติงาน ได้แก่
1) มีความสามารถในการรับรู้และไวต่อปฏิกิริยาจากสิ่งเร้าหรือเหตุการณ์ต่างๆ
2) มีความสามารถในการตอบสนองและแก้ไขปัญหาที่เกิดจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดหรือมีโอกาสเกิดน้อยมาก
3) มีความสามารถในการวิเคราะห์ ตัดสินใจเมื่อมีเหตุการณ์หรือภาวะที่ไม่สามารถกำหนดให้เห็นเป็นที่แน่นอนว่าจะเกิดอะไรขึ้น
6.2 จุดเด่นหรือข้อได้เปรียบของเครื่องจักรในการปฏิบัติงาน
1) เหมาะสมสำหรับการปฏิบัติงานที่จำเจ ซ้ำแล้วซ้ำอีกหรืองานที่ต้องใช้ความแน่นอนและแม่นยำสูง
2) เหมาะสำหรับการปฏิบัติงานที่ต้องใช้แรงหรือพลังงานอย่างมากตลอดเวลา การทำงาน
3) มีความสามารถในการทำงานหรือควบคุมงานหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกัน
4) เหมาะสำหรับใช้ในสถานที่ปฏิบัติงานที่มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของคน
5) มีความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ติดต่อกัน
ความเมื่อยล้าจากการปฏิบัติงานของพนักงาน
ความเมื่อยล้า (fatigue) เป็นตัวชี้วัดที่แสดงว่ามีสภาวะสิ่งแวดล้อมในการทำงานที่ไม่ถูกหลักการยศาสตร์ และเป็นต้นเหตุของความผิดพลาดในการปฏิบัติงานที่ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บจากการทำงาน ซึ่งบางครั้งพนักงานอาจจะไม่ได้คำนึงถึง เพราะความไม่รู้ แต่หากเป็นผู้บริหารจะต้องรับรู้และเข้าใจ รวมทั้งหาทางป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้ากับพนักงานซึ่งมีสิ่งที่จะต้องรับรู้ดังต่อไปนี้
1. ความหมายและประเภทของความเมื่อยล้า มีดังนี้
ความเมื่อยล้า หมายถึง สภาวะของร่างกายที่มีความรู้สึกเหนื่อยและเพลีย (weariness) ความรู้สึกเหนื่อยและเพลียนี้เป็นกลไกปกป้องร่างกายของมนุษย์ตามธรรมชาติอย่างหนึ่งที่จะช่วยไม่ให้ร่างกายใช้พลังงานมากเกินขีดจำกัด ในกรณีที่พนักงานสามารถพักเพื่อผ่อนคลายในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ความรู้สึกเหนื่อยและเพลียนี้สามารถหายไปหรือเบาบางลง ในทางตรงกันข้ามซึ่งเป็นปัญหาหนึ่งของการยศาสตร์ คือ การที่พนักงานต้องทำงานที่หนักภายใต้สภาวะและสิ่งแวดล้อมที่เครียดในช่วงระยะเวลาที่ยาว และมีการจัดช่วงหยุดพักที่ไม่เหมาะสม ในกรณีนี้ ความเมื่อยล้าที่เกิดขึ้นจะคงค้างอยู่ และเกิดการสะสมในวันต่อๆ ไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายของพนักงาน ความเมื่อยล้าสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
1.1 ความเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ (muscular fatigue)
1.2 ความเมื่อยล้าทั่วๆ ไป (general fatigue) ซึ่งได้แก่
2. สภาวะของร่างกาย ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ความเมื่อยล้า คือการที่ร่างกายอยู่ในสภาวะที่มีความรู้สึกเหนื่อยและเพลีย ซึ่งความรู้สึกนี้เป็นเพียงสภาวะหนึ่งของร่างกาย
นอนหลับสนิท
นอนหลับ
ครึ่งหลับครึ่งตื่น
เหนื่อยและเพลีย
ปกติ
สบายตัว
สดชื่น แจ่มใส
สดชื่นมากตื่นตัว
ตกใจตื่นตัวมาก
ภาพที่ 4 แสดงสภาวะต่างๆ ของร่างกาย
จากภาพ จะเห็นว่าสภาวะต่างๆ โดยทั่วไปของร่างกายแบ่งออกเป็นเจ็ดสภาวะโดยมีสภาวะปกติของร่างกายที่มีความสบายตัว (relaxed and resting) อยู่กึ่งกลาง ความเมื่อยล้าหรือสภาวะที่มีความรู้สึกเหนื่อยและเพลียอยู่ถัดไปทางซ้าย ติดกับสภาวะที่นอนหลับหรือครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อนำเอารูปแบบของสภาวะต่างๆ ของร่างกายมาพิจารณาร่วมกับแนวทางการจัดสภาพงาน สามารถอธิบายได้ดังนี้
การออกแบบหรือจัดสภาพงาน หรือปรับปรุงสภาวะและสิ่งแวดล้อมในการทำงานตามหลักการยศาสตร์ จะช่วยให้พนักงานมีความสดชื่น แจ่มใส ที่จะมาปฏิบัติงาน สามารถปฏิบัติงานได้ด้วยสภาวะปกติ หรือมีความรู้สึกเหนื่อยและเพลียน้อย พนักงานที่เริ่มงานด้วยสภาวะที่สดชื่นแจ่มใสนี้จะปฏิบัติงานด้วยความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากกว่าพนักงานที่เริ่มต้นงานด้วยสภาวะของร่างกายปกติหรือมีความรู้สึกเหนื่อยและเพลียอยู่
3. ลักษณะอาการของพนักงานที่มีความเมื่อยล้า ลักษณะของร่างกายและจิตใจที่ได้กล่าวมาเป็นอาการของผู้ที่มีความเมื่อยล้าทั่วไป ยังมีความเมื่อยล้าอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะพบมากในการปฏิบัติงานภาคอุตสาหกรรม ซึ่งพนักงานต้องประสบกับสภาวะและสิ่งแวดล้อมที่มีความเครียดเป็นเวลานานพอควร ความเมื่อยล้าลักษณะนี้เรียกว่า ความเมื่อยล้าแบบเรื้อรัง ลักษณะอาการของความเมื่อยล้าชนิดนี้ไม่เพียงแต่จะเกิดในช่วงเวลาปฏิบัติงานหรือหลังจากเลิกงานเท่านั้น แต่ยังคงค้างอยู่และจะเกิดในช่วงเวลาอื่นด้วย เช่น ช่วงเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนเริ่มปฏิบัติงาน ลักษณะอาการของพนักงานที่มีปัญหาความเมื่อยล้าแบบเรื้อรัง
4. ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของการเกิดความเมื่อยล้า สาเหตุของการเกิดความเมื่อยล้า ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านรูปแบบของงาน สภาวะและสิ่งแวดล้อมในการทำงานระยะและช่วงเวลาปฏิบัติงาน ความรับผิดชอบ ความกังวล ความขัดแย้งในงาน การเจ็บป่วย ภาวะทางโภชนาการและวงจรการดำเนินชีวิตใน 24 ชั่วโมง
ระดับของความเมื่อยล้า
ภาพที่ 5 แสดงปัจจัยด้านต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของการเกิดความเมื่อยล้า
จากภาพ อธิบายได้ว่าระดับน้ำในถังแสดงถึงระดับความเมื่อยล้าที่มีผลมาจากความเครียดด้านต่างๆ และน้ำที่ไหลออกจากถังแสดงถึงความเมื่อยล้าที่จะหายไปจากร่างกายของพนักงานเมื่อได้พักผ่อน เพื่อที่จะดำรงไว้ซึ่งความปลอดภัย สุขภาพอนามัยที่ดีและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ช่วงเวลาในการพักผ่อนนอนหลับ และการหยุดพักระหว่างปฏิบัติงาน ต้องมีความเหมาะสมเพียงพอและมีความสมดุลกับผลรวมของความเค้นต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าระดับของความเมื่อยล้าไม่สูงเกินระดับสูงสุดที่ร่างกายจะรับได้คือน้ำไม่ล้นออกมานอกถัง
5. ความเมื่อยล้าก่อให้เกิดความเบื่อหน่ายในการปฏิบัติงาน นอกจากความเมื่อยล้าแล้ว นักการยศาสตร์ยังให้ความสนใจถึงเรื่องความเบื่อหน่ายในการปฏิบัติงาน ทั้งนี้เนื่องจากความเบื่อหน่ายส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตในการทำงานและผลผลิตของสถานประกอบการ
สรุป สภาวะที่พนักงานมีความเบื่อหน่าย พบได้โดยทั่วไปในสถานประกอบการประเภทอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ที่มีสภาวะการทำงานจำเจ ตัวอย่างของงานที่มีลักษณะจำเจและน่าเบื่อหน่าย ได้แก่ งานพิมพ์ฉลากปิดลงบนผลิตภัณฑ์หรืองานประกอบชิ้นส่วนวัสดุใดวัสดุหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นตอนหนึ่งในกระบวนการประกอบผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราหมุนเวียนคงที่ ทั้งนี้ต้องปฏิบัติงานในลักษณะนั้นทุกวันทุกเดือนและทำเป็นระยะเวลานานเป็นปีๆ
เอกสารอ้างอิง
ปรียาวดี ผลเอนก (2556) การจัดการคุณภาพ. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เรืองวิทย์ เกษสุวรรณ. (2550). การจัดการคุณภาพ.กรุงเทพฯ : บพิธการพิมพ์ จำกัด
วีรพจน์ จงประสิทธิสกุล (2542). TQM living handbook. An executive Summary.
พิมพ์ครั้งที่ 2 บริษัท บีพีอาร์ คอนซัลแทนท์ จำกัด.
Artzt, E.L. Quality Progress (QPR) Vol.25. Issue 10, Oct, 1992. pp.25-27.ANSI/ISO/ASQCC.
A8402-1994. Quality management and quality assurance vocabulary.