การปรึกษาในยุคดิจิทัล

**การปรึกษาในยุคดิจิทัล**

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กาญจนา สุทธิเนียม

อาจารย์ประจำกลุ่มวิชาชีพครู ประธานสาขาจิตวิทยาการปรึกษา หลักสูตร วทม. คณะครุศาสตร์ มบส.

…………………………………………………………………………………..

 

ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลง สังคมเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อบุคคล สังคม หากบุคคลใดสามารถที่จะเข้าใจและยอมรับพร้อมกับปรับตัวได้ก็สามารถอยู่รอด   แต่ในทางตรงกันข้ามบุคคลหลายคนอาจจะประสบกับปัญหา  การปรึกษาจึงเข้ามามีความสำคัญและจำเป็น  และในปัจจุบันนี้ทุกคนประสบกับ Disruptive technology  ส่งผลให้การปรึกษาเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเนื่องจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยและการเชื่อมต่อที่รวดเร็ว แพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น แอปพลิเคชันวิดีโอคอล ระบบแชทออนไลน์ และอีเมล ทำให้การปรึกษาไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นที่สำนักงานหรือห้องประชุมแบบเดิม แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นทางการหรือแม้แต่ที่บ้าน สิ่งนี้ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงบริการที่ปรึกษาได้ง่ายและสะดวกขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวิกฤตการณ์ เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19

การปรึกษาออนไลน์ จึงเป็นบริการที่ยืดหยุ่นและให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้รับการปรึกษามากขึ้น แต่มีข้อจำกัดบางประการ เช่น การไม่สามารถรับรู้สัญญาณทางกายภาพหรือภาษากายได้ชัดเจน หรือปัญหาทางเทคนิคที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น internet ไม่เสถียร อย่างไรก็ตาม การปรึกษาในยุคดิจิทัลเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ สามารถลดช่องว่างด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตและให้การปรึกษาแก่ผู้ที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลหรือผู้ที่มีข้อจำกัดทางกายภาพ

บทบาทผู้ให้การปรึกษาในยุคดิจิทัล

ผู้ให้การปรึกษาในยุคดิจิทัลมีบทบาทที่จำเป็นต้องพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีที่เข้ามามีส่วนในการให้บริการแก่ผู้รับการปรึกษาอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว บทบาทของผู้ให้การปรึกษาในยุคนี้สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายด้านดังนี้

1. การสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ผู้ให้การปรึกษาต้องสามารถใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น วิดีโอคอล แชท หรือ อีเมลเพื่อสื่อสารกับผู้รับการปรึกษาอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมืออาชีพ การสร้างความไว้วางใจและความสัมพันธ์ที่ดีผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นสิ่งที่ท้าทายกว่าการพบปะหน้ากัน แต่ถือเป็นบทบาทสำคัญในยุคนี้

2. การปรับตัวและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี นอกจากทักษะการปรึกษาแล้ว ผู้ให้การปรึกษาจำเป็นต้องมีความรู้และทักษะเกี่ยวกับการใช้งานเทคโนโลยี การแก้ไขปัญหาเบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยี และความเข้าใจเกี่ยวกับเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการปรึกษาออนไลน์ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้รับคำปรึกษาได้ทันท่วงที

3. การปรึกษาผ่านสื่อดิจิทัลอย่างปลอดภัย ในยุคดิจิทัล ข้อมูลส่วนตัวของผู้รับการปรึกษามีความสำคัญมาก การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเป็นหน้าที่สำคัญของผู้ให้การปรึกษา โดยต้องมีความรู้เกี่ยวกับมาตรการความปลอดภัยไซเบอร์ เช่น การเข้ารหัสข้อมูล การป้องกันการแฮก หรือการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

4. การจัดการความเครียดของผู้ให้การปรึกษาเอง ผู้ให้การปรึกษาในยุคดิจิทัลต้องเผชิญกับความเครียดที่อาจเกิดจากการทำงานระยะยาวในสภาพแวดล้อมออนไลน์ ทั้งการทำงานที่ต้องเชื่อมต่อเทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลา การจัดการความเครียดและการรักษาสมดุลชีวิตส่วนตัวกับการทำงานเป็นบทบาทสำคัญเช่นกัน

5. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อการประเมินและวางแผนการรักษา ผู้ให้การปรึกษาสามารถใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น แอปพลิเคชันเพื่อสุขภาพจิต หรือเครื่องมือประเมินผ่านออนไลน์ เพื่อช่วยในการวิเคราะห์และติดตามผลการให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยในการปรับปรุงแนวทางการรักษาและประเมินความก้าวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

ขั้นตอนการปรึกษาในยุคดิจิทัล

การปรึกษาในยุคดิจิทัลมีความยืดหยุ่นและสะดวกสบายมากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีช่วยให้สามารถติดต่อกันได้จากระยะไกล และสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ ที่อำนวยความสะดวกในกระบวนการให้คำปรึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการปรึกษาในยุคดิจิทัลยังคงยึดหลักการเดิมของการให้คำปรึกษา แต่มีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับการใช้งานผ่านช่องทางดิจิทัล ดังนี้

1. การเตรียมตัวก่อนการปรึกษา   ผู้ให้การปรึกษาจะต้องมี  1) การเลือกแพลตฟอร์มการปรึกษา ผู้ให้และผู้รับการปรึกษาจำเป็นต้องเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสม เช่น Zoom, Google Meet, หรือแอปพลิเคชันเฉพาะที่ให้บริการด้านสุขภาพจิต เช่น Mental Health Check up ของกรมสุขภาพจิต 2) การจัดเตรียมอุปกรณ์และอินเทอร์เน็ต ผู้รับการปรึกษาควรตรวจสอบอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ตให้พร้อมใช้งาน เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการปรึกษา  และ 3) การสร้างบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว ควรเลือกสถานที่ที่เงียบและปลอดภัยจากการรบกวน เพื่อให้การปรึกษาเป็นไปอย่างราบรื่น

2. การสร้างความสัมพันธ์ (Building Rapport) ถึงแม้จะเป็นการปรึกษาแบบออนไลน์ แต่ผู้ให้การปรึกษายังจำเป็นที่จะต้องมีการแนะนำตัวและประเมินความคาดหวังของผู้รับการปรึกษาเช่นกัน   ผู้ให้การปรึกษาจะเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัว กำหนดแนวทางการปรึกษา และสร้างบรรยากาศที่ไว้วางใจได้ แม้จะอยู่ในสภาพแวดล้อมออนไลน์ก็ตาม   นอกจากนี้การประเมินสภาพจิตใจเบื้องต้น ในขั้นตอนแรกนี้ ผู้ให้การปรึกษาอาจใช้เครื่องมือประเมินออนไลน์หรือแบบสอบถามเพื่อวิเคราะห์สภาพจิตใจของผู้รับการปรึกษา และวางแผนการดูแลต่อไป

3. การตั้งเป้าหมายและวางแผนการรักษา ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นเพราะการกำหนดเป้าหมายการปรึกษา ผู้ให้การปรึกษาจะร่วมกับผู้รับการปรึกษาในการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เช่น การลดความวิตกกังวล การพัฒนาความมั่นใจในตนเอง หรือการแก้ไขปัญหาครอบครัว และควรให้ผู้รับการปรึกษาการเลือกวิธีการปรึกษา ผู้ให้การปรึกษาอาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT) การฟังแบบเชิงรุก หรือการให้การสนับสนุนทางอารมณ์ผ่านช่องทางออนไลน์

4. การปรึกษา (Counseling Process) ระยะนี้ถือว่างเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะฉะนั้นผู้ให้การปรึกษาควรใช้การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ในระหว่างการปรึกษา ผู้ให้การปรึกษาต้องคอยปรับการสื่อสารให้เหมาะสมกับการสนทนาออนไลน์ เช่น การพูดชัดเจน สร้างการตอบรับที่กระตุ้นความรู้สึกเข้าใจ และสังเกตภาษากายที่แสดงผ่านหน้าจอ   และอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ การใช้เครื่องมือดิจิทัล ผู้ให้การปรึกษาอาจใช้แอปหรือเครื่องมือดิจิทัลเพื่อให้ผู้รับการปรึกษาบันทึกความรู้สึก หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อช่วยพัฒนาสภาพจิตใจ เช่น การทำสมาธิผ่านแอป การกรอกแบบสอบถาม หรือการติดตามความคืบหน้าในแอปสุขภาพจิต

5.การติดตามผล (Follow-up and Evaluation) การติดตามความก้าวหน้า ผู้ให้การปรึกษาจะทำการติดตามผลการปรึกษา โดยอาจใช้วิธีส่งแบบสอบถามหรือพูดคุยเพื่อติดตามความก้าวหน้าของผู้รับการปรึกษา รวมถึงการประเมินว่าสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ หากไม่บรรลุเป้าหมายก็ควรมีการปรับปรุงแผนการรักษาหรือปรับเปลี่ยนวิธีการหรือเครื่องมือที่ใช้เพื่อให้การปรึกษามีประสิทธิภาพมากขึ้น

6.การยุติการปรึกษา เป็นการสรุปผลการปรึกษา เมื่อกระบวนการปรึกษาเสร็จสิ้น ผู้ให้การปรึกษาจะสรุปผลความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงของผู้รับการปรึกษา รวมถึงการวางแผนสำหรับอนาคตว่าจะดำเนินการใดต่อไป และการสร้างแผนการป้องกัน (Relapse Prevention Plan) ผู้ให้การปรึกษาอาจช่วยผู้รับการปรึกษาในการสร้างแผนการป้องกันการเกิดซ้ำของปัญหา หรือแนะนำแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนผู้รับการปรึกษาในการดูแลตนเองหลังจากการยุติการปรึกษา

เทคนิคที่ใช้ในการปรึกษาในยุคดิจิทัล

การปรึกษาในยุคดิจิทัลมีการปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ทันสมัย ผู้ให้คำปรึกษาจึงต้องใช้เทคนิคที่เหมาะสมเพื่อให้การสนทนาและการบำบัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยสร้างความเชื่อมั่นระหว่างผู้ให้และผู้รับคำปรึกษา เทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ในยุคดิจิทัลมีดังนี้

1.การใช้เทคโนโลยีเสริมการบำบัด ผู้ให้การปรึกษาสามารถแนะนำแอปพลิเคชันที่ช่วยในเรื่องการบำบัด เช่น แอปเพื่อการทำสมาธิ การจดบันทึกอารมณ์ หรือแอปที่มีแบบประเมินสุขภาพจิต เช่น HERO หรือ Mental Health Check up   การบำบัดผ่านวิดีโอคอล แพลตฟอร์มวิดีโอคอล เช่น Zoom, Skype หรือ Google Meet ช่วยให้ผู้ให้การปรึกษาสามารถเชื่อมต่อกับผู้รับการปรึกษาได้โดยตรง การเห็นหน้าผ่านกล้องช่วยสร้างความไว้วางใจได้มากขึ้น คล้ายกับการพบกันแบบต่อหน้า

2. การบำบัดทางความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy – CBT) ออนไลน์

การใช้ CBT ผ่านแอปพลิเคชันมีหลายแอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุน CBT เช่น MoodGYM หรือ Woebot ที่ให้ผู้ใช้ได้บันทึกอารมณ์และเรียนรู้การปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม  และการทำแบบฝึกหัดออนไลน์ผู้ให้คำปรึกษาสามารถมอบหมายแบบฝึกหัดเชิงพฤติกรรม เช่น การติดตามความคิด (thought tracking) และการเขียนบันทึกประจำวันผ่านแอปพลิเคชันหรือแบบฟอร์มออนไลน์

3.การบำบัดแบบสั้นทางออนไลน์ (Brief Therapy) การใช้ข้อความหรือแชท การบำบัดแบบสั้นที่ใช้เวลาน้อยอาจทำได้ผ่านช่องทางการส่งข้อความหรือแชท ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อยหรือผู้ที่ไม่สะดวกในการสนทนาผ่านวิดีโอ โดยจะเป็นการตั้งเป้าหมายเฉพาะเจาะจงและระยะสั้นการบำบัดแบบนี้มุ่งเน้นที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะด้านและทำการบำบัดเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อความต้องการเร่งด่วน

4.การบำบัดผ่านอีเมล (Email Therapy) เป็นการเขียนเพื่อแสดงความรู้สึก การใช้การบำบัดผ่านอีเมลช่วยให้ผู้รับการปรึกษามีเวลาในการสะท้อนความรู้สึกของตนเองและเขียนออกมาอย่างละเอียด ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่รู้สึกไม่สะดวกใจในการพูดคุยแบบสด ๆ และจะมีการติดตามผลและการปรึกษาเชิงลึก ผู้ให้การปรึกษาสามารถตอบสนองด้วยคำแนะนำเชิงลึกผ่านอีเมล ซึ่งจะมีการบันทึกการสนทนาทั้งหมดทำให้สามารถติดตามความคืบหน้าได้อย่างเป็นระบบ

5.การบำบัดด้วยการปรับสภาพจิตใจ (Mindfulness Therapy) การทำสมาธิออนไลน์ การบำบัดด้วยการฝึกสมาธิและสติเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ได้รับความนิยมในยุคดิจิทัล ผู้ให้การปรึกษาสามารถแนะนำแอปสำหรับการฝึกสติ เช่น Headspace หรือ Insight Timer เพื่อช่วยให้ผู้รับคำปรึกษาฝึกการจดจ่อและปรับสภาพจิตใจของตนเอง   หรือการใช้วิดีโอแนะนำการฝึกสติ ผู้ให้การปรึกษาสามารถส่งลิงก์ไปยังวิดีโอที่มีการฝึกสติผ่าน YouTube หรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้รับการปรึกษาฝึกฝนด้วยตนเอง

6.การปรึกษาผ่านกลุ่มออนไลน์ (Group Therapy)  การใช้แพลตฟอร์มสำหรับการสนทนากลุ่ม แพลตฟอร์มอย่าง Zoom หรือ Microsoft Teams สามารถใช้ในการจัดกลุ่มสนทนาเพื่อให้ผู้รับการปรึกษาหลายคนสามารถแบ่งปันประสบการณ์และเรียนรู้จากกันและกันได้ การปรึกษาแบบกลุ่มช่วยเสริมสร้างการสนับสนุนซึ่งกันและกันและลดความรู้สึกโดดเดี่ยว  โดยการสนับสนุนในชุมชนออนไลน์ บางครั้งผู้ให้การปรึกษาอาจแนะนำให้ผู้รับการปรึกษาเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนออนไลน์ที่มีการให้ความช่วยเหลือกันระหว่างผู้มีประสบการณ์คล้ายกัน เช่น กลุ่มสนับสนุนสำหรับผู้มีภาวะซึมเศร้าหรือผู้ที่กำลังผ่านการสูญเสีย

7.การปรึกษาแบบไฮบริด (Hybrid Counseling) เป็นการผสมผสานการปรึกษาแบบออนไลน์และต่อหน้า ในบางกรณี ผู้ให้การปรึกษาอาจผสมผสานการปรึกษาออนไลน์และแบบพบหน้ากัน โดยการปรึกษาบางช่วงสามารถทำออนไลน์ได้ เช่น การติดตามผล ขณะที่การพบกันต่อหน้าอาจเน้นการให้การบำบัดเชิงลึก ร่วมกับการใช้เครื่องมือดิจิทัลร่วมกับการปรึกษาแบบดั้งเดิม ผู้ให้การปรึกษาอาจใช้แอปหรือเครื่องมือออนไลน์เสริมการให้การปรึกษาที่เกิดขึ้นแบบพบหน้า เช่น การใช้แอปจดบันทึกอารมณ์ระหว่างการปรึกษาในระยะยาว

บทสรุป 

การปรึกษาในยุคดิจิทัล  ผู้ให้การปรึกษาจะต้องพัฒนาทักษะทั้งในด้านการใช้เทคโนโลยี ความปลอดภัยด้านข้อมูล และการจัดการตนเองในสภาพแวดล้อมดิจิทัล นอกจากนี้ยังต้องมีความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้รับคำปรึกษาที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี

อ้างอิง

1. กาญจนา สุทธิเนียม. (2564). เอกสารประการคำสอน “ทฤษฎีและกระบวนการให้การปรึกษา”

คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา.

2. Harris, B., & Birnbaum, R. (2018). _The impact of digital technology on mental health

          services: Opportunities and challenges_. New York: Oxford University Press.

3. Richards, D., & Viganò, N. (2021). _Online counseling: A handbook for mental health

          professionals_. London: Sage.

4. Murphy, L., & Mitchell, D. L. (2019). _The digital therapist: Ethical, legal, and professional

            issues in digital counseling_. Washington, D.C.: American Counseling Association.

5. Pelling, N., & Renard, D. (2020). _E-therapy: Case studies and best practices in online

            counseling_. New York: Routledge.

6. Barak, A., & Grohol, J. M. (2019). _Psychological services in the digital age: Online interventions and teletherapy_. Journal of Clinical Psychology, 75(5), 764-776.